Powered By Blogger

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วิธีป้องกันและควบคุมไขหวัด2009
















ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) กำลังขยายตัวไปทั่วโลก และขณะนี้ประเทศไทยพบการระบาดภายในประเทศแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษา และสถานประกอบการ ซึ่งอาจแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้มีอาการคล้ายกันกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ส่วนใหญ่มีอาการน้อยและหายได้โดยไม่ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล

สำหรับผู้ป่วยจำนวนไม่มากในต่างประเทศที่เสียชีวิต มักเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน เป็นต้น ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอ้วน ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และหญิงมีครรภ์

คำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป

1. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ

2. ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น

3. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด

4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็น

6. ติดตามคำแนะนำอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่

1. หากมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้ สามารถรักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ

2. ควรหยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น

3. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องอยู่กับผู้อื่น หรือใช้กระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม

4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม

5. หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์

คำแนะนำสำหรับสถานศึกษา

1. แนะนำให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้านหรือหอพัก หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์

2. ตรวจสอบจำนวนนักเรียนที่ขาดเรียนในแต่ละวัน หากพบขาดเรียนผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในห้องเรียนเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค

3. แนะนำให้นักเรียนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน

4. หากสถานศึกษาสามารถให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ทุกคนหยุดเรียนได้ ก็จะป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ดี และไม่จำเป็นต้องปิดสถานศึกษา แต่หากจะพิจารณาปิดสถานศึกษา ควรหารือร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะเรียน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง

คำแนะนำสำหรับสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน

1. แนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้าน หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์

2. ตรวจสอบจำนวนพนักงานที่ขาดงานในแต่ละวัน หากพบขาดงานผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในแผนกเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค

3. แนะนำให้พนักงานที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน

4. ในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่แนะนำให้ปิดสถานประกอบการหรือสถานที่ทำงาน เพื่อการป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่

5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะทำงาน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกทั่วไปเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตู หน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง

6. ควรจัดทำแผนการประคองกิจการในสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง หากเกิดการระบาดใหญ่ (ดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค http://beid.ddc.moph.go.th/)

แหล่งข้อมูลการติดต่อ เพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

1. กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0-2245-8106 , 0-2246-0358 และ 0-2354-1836

2. ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง

ติดตามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข www.moph.go.th และหากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 0-2590-3333 และศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์ 0-2590-1994 ตลอด 24 ชั่วโมง

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Fromage


Un fromage est un aliment obtenu à partir de lait coagulé ou de produits laitiers, comme la crème, puis d'un égouttage suivi ou non de fermentation et éventuellement d'affinage (fromages affinés). Le fromage est fabriqué à partir de lait de vache principalement, mais aussi de brebis, de chèvre, de bufflonne ou d'autres mammifères. Le lait est acidifié, généralement à l'aide d'une culture bactérienne. Une enzyme, la présure, ou un substitut comme par exemple de l'acide acétique ou du vinaigre, est ensuite adjointe afin de provoquer la coagulation et former le lait caillé et le petit-lait. Certains fromages comportent de la moisissure, soit sur la croûte externe, soit à l'intérieur, soit sur la croûte et à l'intérieur.
Des centaines de types de fromage sont produits dans le monde. Leurs différents styles, goûts et textures dépendent de l'origine du lait (y compris le régime alimentaire de l'animal), si le lait a été pasteurisé, du pourcentage de matière grasse, de l'espèce des bactéries et des moisissures choisis, du procédé de fabrication, ainsi que du temps de maturation. Des herbes, des épices, ou la fumaison peuvent être utilisées pour varier le goût.
Pour quelques fromages, le lait est caillé à l'aide d'un agent acide, comme du vinaigre ou du jus de citron. La plupart des fromages sont acidifiés à moindre degré à l'aide d'une bactérie transformant le lactose en acide lactique, le caillage étant assuré par l'ajout de présure.
Le fromage est un aliment de base, riche en graisses, protéines, calcium et phosphore à longue conservation en comparaison de la durée de conservation du lait à partir duquel il est fabriqué.


วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประวัตินาฬิกาสวิส




สวิตฯไม่ใช่ประเทศแรกที่ทำนาฬิกาค่ะ ประเทศที่เป็นผู้บุกเบิกตัวจริงนั้นได้แต่อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ประเทศเหล่านี้ต่างผลิตนาฬิกาเพื่อเป็นเครื่องประดับสูงค่า สำหรับชนชั้นเจ้านายและราชวงศ์ รวมทั้งผู้ดีมีเงิน หรือไม่ก็เพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้ในทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากประเทศสวิตฯไม่เคยมีเจ้าขุนมูลนายก็เลยไม่เคยสนใจในเรื่องการทำนาฬิกามาแต่ไหนแต่ไร

แต่การผลิตนาฬิกาเริ่มเป็นที่แพร่หลายก็ที่เมืองเจนีวา (บ้านที่สองของรจนา) นี่แหละค่ะ โดยเริ่มในราวศตวรรษที่ ๑๗ โดยช็อง คาลแว็ง (Jean Calvin) ผู้สั่งห้ามการแสดงออกซึ่งความร่ำรวย (มีอย่างนี้ด้วยนิ) และบังคับให้ผู้ผลิตอัญมณีเปลี่ยนจากการทำเครื่องประดับอันล้ำค่าไปหัดทำนาฬิกาแทน

เจนีวาก็เลยกลายเป็นศูนย์กลางของการออกแบบและการตลาดทั้งก่อนและหลังที่จะกลายเป็นประเทศสหพันธรัฐสวิสในปี ค.ศ. ๑๘๑๕ ถึงตอนนั้นการผลิตก็ขยายตัวไปยังมณฑลอื่น ๆ โดยเฉพาะมณฑลนูชาเต็ล (Neuchâtel)

ช่างนาฬิกาสวิสต่างเดินทางไปศึกษาหาความรู้ในประเทศอื่นและไปฝึกทักษะฝีมือด้วย ช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คนหนึ่งคือ Abraham-Louis Breguet (1747-1823) เกิดที่นูชาเต็ล ไปอบรมที่แวร์ซายล์ และทำมาหากินในปารีสหลังจากไปอยู่ลอนดอนนานหลายปี เบรเกะต์นี้ถือว่า ผู้ประดิษฐ์นาฬิกาที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยเลยค่ะ แต่รจนาจะไม่เล่ามากไปกว่านี้นะคะ

ช่างประดิษฐ์ชาวสวิส (โดยเฉพาะชาวเจนีวา) ถือว่าอยู่แนวหน้าของการประดิษฐ์คิดค้น และยังทำเป็นพ่อค้าแม่ขายที่เก่งกาจอีกด้วย นับแต่เริ่มทำนาฬิกา ผู้ประดิษฐ์สวิสก็เน้นการส่งออกเป็นหลัก ทำให้มีพ่อค้าที่ชำนาญเรื่องการขายนาฬิกาโดยเฉพาะ (ปัจจุบันนาฬิกาสวิสส่งออกถึง ๙๕ % ของการผลิต)ตอนแรก ๆ ช่างนาฬิกาก็เลียนแบบ (หรือขโมยลิขสิทธิ์) รูปแบบนาฬิกาฝรั่งเศสและอังกฤษค่ะ โดยทำออกมาแบบถูก ๆ แต่ใช้เทคนิคการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และความเป็นนักการค้าที่เก่งกว่า

พออุตสาหกรรมนาฬิการุ่งเรืองดี ผู้ประดิษฐ์ชาวสวิสก็เลิกเลียนแบบ และหันมาออกแบบเองค่ะ (ตอนหลังมีไทยแลนด์ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลียนแบบต่อบ้าง เข้าทำนอง กงกรรมกงเกวียน) ชิ้นส่วนนาฬิกาต่าง ๆ นั้นมักจะตามบ้าน (รับเหมา) หรือในโรงงานเล็ก ๆ ในหมู่บ้านรอบมณฑลเจนีวา โดยใช้ระบบที่เรียกว่า "รับงานไปทำที่บ้าน (homeworking)" เหมือนกับบ้านเราเหมือนกันนะคะ ชิ้นส่วนเหล่านี้จะถูกส่งไปให้ช่างฝีมือในเจนีวาเพื่อประกอบเป็นนาฬิกาในที่สุดค่ะ

กล่าวกันว่า ราคาชิ้นส่วนต่าง ๆ ของนาฬิกานั้น มีมูลค่าจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตทั้งหมด ที่แพงที่สุดก็คือ ค่าแรงงานช่างฝีมือที่ต้องประดิษฐ์ประดอย ใช้เวลาประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ อย่างประณีตที่สุด แม่นยำที่สุด บางครั้งต้องนำชิ้นส่วนที่เล็กจนต้องใช้แว่นขยายประกอบเข้าใจตัวเรือนเล็กจิ๋วหรือบางเฉียบ และนาฬิกาส่วนใหญ่จะใช้ชิ้นส่วน ๒๐๐-๓๐๐ ชิ้น (บางเรือนใช้ถึง ๑,๕๐๐ กว่าชิ้นค่ะ) สิ่งนี้แหละค่ะ ที่ทำให้นาฬิกายี่ห้อดี ๆ ถึงแพงเหลือใจ ไม่ใช่เพราะประดับเพชรประดับทองสักเท่าไร (แต่ก็มีส่วนนิ) .... ช่างฝีมือสวิสนั้นได้ค่าแรงเป็นชั่วโมงค่ะ และชั่วโมงไม่ใช่ร้อยกว่าบาท แต่เป็นพันค่ะ

แต่ก่อนนี้ นาฬิกายังไม่ใช่ของประดับร่างกาย (หรือข้อมือ) แต่เป็นของประดับบ้าน นาฬิกาข้อมือนั้นเพิ่งมาเป็นที่นิยมในศตวรรษที่ ๒๐ นี่เอง แต่ก่อนก็ใช้วิธีห้อยกับสายสร้อย พกในกระเป๋า หรือแขวนไว้กับเข็มขัด เป็นต้น ในสมัยก่อนนั้น นาฬิกาถือเป็นอัญมณีประดับกายพอ ๆ กับเป็นที่บอกเวลาค่ะ

จุดเด่นของนาฬิกาแบบเจนีวาก็คือ การตกแต่งค่ะ ความสวยงามของนาฬิกาสวิส (เจนีวา) นี้ทำให้เครื่องบอกเวลานี้มีความดึงดูดต่อสายตา อุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสแซงหน้าอังกฤษในที่สุดในตอนกลางศตวรรษที่ ๑๙ แล้วก็มีคู่แข่งสำคัญที่ช่วงเดียวกัน คือ ช่างประดิษฐ์นาฬิกาอเมริกันที่สามารถผลิตนาฬิกาที่มีความแม่นยำได้ทีละจำนวนมาก ๆ (เหมือนปั๊มออกมา) และชิ้นส่วนต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนได้ คู่แข่งนี้ทำให้การส่งออกนาฬิกาสวิสในช่วงนั้นตกลงถึง ๗๕% ภายในช่วงสิบปี

ด้วยเหตุนี้เองที่ประเทศสวิตฯจึงเร่งพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่เน้นความแม่นยำ โดยผลิตเครื่องจักรที่มีความสามารถสูง แล้วก็เพิ่มของแถมจูงใจคนซื้อ เช่น มีบอกวันที่และเดือน รวมทั้งจับเวลาได้ บริษัท Rolex เป็นผู้ผลิตนาฬิกาเรือนแรกที่กันน้ำได้ในช่วงทศวรรณ ๑๙๒๐ ค่ะ

พอมาถึงศตวรรษที่ ๒๐ ช่วงแห่งการปฏิวัติด้านนาฬิกา มีการคิดค้นนาฬิกาคว้อตซ์ที่เมืองนูชาเต็ล Neuchâtel (ปี ค.ศ. ๑๙๖๗) แต่ผู้ประดิษฐ์สวิสกลับหัวไม่ไวเท่าไร ปล่อยให้ญี่ปุ่นและอเมริกานำเทคนิคนี้ไปใช้ประโยชน์เสียก่อนอย่างน่าเสียดาย ช่วงนั้น ผู้ประดิษฐ์สวิสมุ่งไปที่การวิจัยและพัฒนาในการสร้างนาฬิกาแบบกลไก (ไขลาน) มากกว่า ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ค่ะ ทำให้อุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสแทบล่มสลายม้วนเสื่อไปจากวงการเลยเลยทีเดียว...และพวกเราเองก็คิดถึงนาฬิกาคว้อตซ์คู่กับนาฬิกาญี่ปุ่นเสียมากกว่า

แต่ดวงยังดีค่ะ ที่ผู้ผลิตชาวสวิสยังรู้ตัวก่อนจะสายเกินไป ได้มีการพยายามปฏิวัติอุตสาหกรรมนาฬิกาเสียใหม่ โดยทำให้นาฬิกานั้นกลายเป็นเครื่องหมายแห่งแฟชั่น มีการออกแบบและผลิตนาฬิการาคาถูก ยี่ห้อ Swatch ออกมาขายเป็นเรือนล้าน (ใช้เทคโนโลยี่คว้อตซ์) และทำให้ประเทศสวิสกลับมาอยู่แถวหน้าของการส่งออกนาฬิกาอีกครั้งหนึ่ง

เพื่อน ๆ มีนาฬิกา Swatch กันสักเรือนแล้วหรือยังคะ? รจนามีอยู่หนึ่งเรือน แต่หายไปตอนเดินทางไปศรีลังกาค่ะ ส่วนพ่อบ้านมีอยู่เรือนหนึ่งเหมือนกัน กันน้ำได้ จับเวลาได้ ราคาก็ประมาณ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ บาทค่ะ ความสำเร็จของนาฬิกา Swatch ถือเป็นจุดหมุนเปลี่ยนที่สำคัญของนาฬิกาสวิสทั้งหมด ทำให้ผู้ผลิตยี่ห้ออื่น ๆ เกิดความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง

คนที่รู้จักนาฬิกาสวิสย่อมเชื่อถือในคุณภาพอันสูงเยี่ยม (แม้ Swatch จะราคาถูก แต่คุณภาพก็ไม่กระจอกค่ะ ทำอะไรได้หลายอย่าง กันน้ำได้ทุกเรือน มีแบบจับเวลาได้ด้วย) และภาคการส่งออกนาฬิกานั้นติดอันดับสามของประเทศ รองจากการส่งออกเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรม (นับจากมูลค่าการส่งออก)

อย่างที่เล่าไปแล้วว่า นาฬิกาสวิสนั้นมีการส่งออกถึง ๙๕% ของจำนวนที่ผลิต และทำให้สวิตฯเป็นประเทศส่งออกนาฬิกาอันดับหนึ่งของโลก มูลค่าการส่งออกในปี ค.ศ. ๒๐๐๔ คือ ๙,๐๐๐ ล้านดอลล่าร์ จำนวนนาฬิกาที่ส่งออกมีประมาณ ๒๕ ล้านเรือน ซึ่งยังน้อยกว่าเมืองจีน (ส่งออก ๑,๐๐๐ ล้านเรือน) และฮ่องกง (ส่งออก ๗๐๐ ล้านเรือน) แต่มูลค่าของนาฬิกาสวิสนั้นสูงกว่าสองประเทศหลังมากมายนัก

กล่าวกันว่า ราคาเฉลี่ยของนาฬิกาส่งออกจากเมืองจีน คือ เรือนละ ๑ ดอลล่าร์ ส่วนของฮ่องกงนั้น ๕ ดอลล่าร์ แต่ค่าของนาฬิกาสวิสนั้นอยู่สุดขั้วอีกด้านค่ะ คือ เฉลี่ยเรือนละ ๓๒๙ ดอลล่าร์ ถือว่าสูงที่สุดในโลก

ตลาดปัจจุบันของนาฬิกาสวิสเน้นอยู่ที่สามทวีป รายแรกลูกค้าใหญ่คือ อเมริกา (๑๗ % ของมูลค่าการส่งออก ปี ๒๐๐๔) รายต่อมา คือ ฮ่องกง ประมาณ ๑๖ % (ถือเป็นจุดส่งผ่านที่สำคัญ ที่มีการส่งออกต่อไปประเทศลูกข่ายด้วย) ลูกค้ารายต่อมา คือ ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ จากนั้นก็มีอิตาลี และฝรั่งเศส ซึ่งคาดว่าเอาไว้ขายนักท่องเที่ยวอีกทีนึง (รจนายังไปซื้อนาฬิกาสวิสลองจิ้น Longine ที่สนามบินปารีสเลย - เห็นไหมคะ รู้สึกว่าราคาจะถูกกว่าซื้อที่เจนีวาหน่อยนึง เพราะได้ลดหย่อนภาษี)

กล่าวกันว่าในปี ค.ศ. ๒๐๐๔ มีประเทศสั่งซื้อสำคัญรวม ๑๕ ประเทศที่ซื้อนาฬิกาสวิสมากกว่า ๘๒ % ของนาฬิกาส่งออกจากสวิตฯค่ะ นาฬิกาสวิสไม่ใช่จะดีเฉพาะคุณภาพอย่างเดียว แต่ยังมีรูปแบบให้เลือกอย่างหลากหลายอีกด้วย ทั้งในแง่เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้า และหน้าตาที่สวยงาม นาฬิกาสวิส ๙๐ % นั้นเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ และมีแบบไขลานเหลืออยู่ประมาณ ๑๐ % แต่เป็น ๑๐ % ที่มีมูลค่าการส่งออกถึงครึ่งนึงของทั้งหมดเลยค่ะ ไม่กระจอกเลย นาฬิการาคาแพงระยับระดับแถวหน้านั้น ถือเป็นนาฬิกาที่มีความซับซ้อนมากที่สุดของโลกทีเดียว บางเรือนยังแพงกว่าซื้อรถบีเอ็มหนึ่งคันเสียอีก

ตรารับประกันคุณภาพที่เขียนว่า "Swiss made" นั้นเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตสวิสหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับมีการเซ็นสัญญาระดับทวิภาคีและพหุภาคีในระดับสากลเพื่อให้ประเทศสวิตฯสามารถฟ้องร้องคนที่เอาตรานี้ไปลักลอบใช้ (กับนาฬิกาของปลอม เป็นต้น) ค่ะ กล่าวกันว่า หากเราเดินทางเข้าประเทศสวิตฯและด่านตรวจคนเข้าเมืองเขาพิสูจน์ได้ว่า โรเล็กซ์ของเราเป็นของเก๊ เขาสามารถเอาฆ้อนทุบต่อหน้าเราได้เลย (ที่จริงคงไม่ถึงอย่างนั้น แต่หมายความว่าริบได้เลย - ส่วนจะเสียค่าปรับหรือเปล่ารจนายังไม่ทราบค่ะ)

กล่าวโดยสรุป การที่จะมีตราว่า "ผลิตในสวิตฯ" ได้นั้น ส่วนประกอบที่ใช้อาจจะผลิตมาจากต่างประเทศได้บางส่วน แต่จะต้องไม่เกินจำนวน ๕๐ % ของมูลค่าทั้งหมดของส่วนประกอบ และนาฬิกาที่จะเรียกว่า สวิสเม้ด ได้นั้นจะต้องมีการประกอบและตรวจสอบคุณภาพในประเทศสวิตฯเท่านั้นค่ะ

ขอเล่านอกเนื่องนิดนึง ตอนอยู่เมืองไทย พ่อบ้านซื้อคักเทียร์ (Cartier) จากแถวพัฒพงษ์เรือนนึง ก็ใส่เล่นอยู่เรื่อยมา วันหนึ่งเจอช่างนาฬิกาสวิส ที่ทำตัวเรือนคักเทียร์ เขาก็บอกว่า โอ๊ย นาฬิกายี่ห้อนี้หากใครทำปลอมก็ดูออกไม่ยาก พ่อบ้านก็เลยถามว่า งั้นช่วยดูนาฬิกาของฉันได้ไหมว่าของจริงหรือเปล่า เพื่อนก็เอาไปดู ผ่านแว่นขยายเล็ก ๆ แล้วก็ยืนยันขึงขังว่า อันนี้ของจริง พ่อบ้านถามว่า ดูยังไง เพื่อนบอกว่า อ๋อ ให้ดูตรงตัวอักษรโรมันของเลขเจ็ด คือ VII โดยดูที่ขาหลังของตัว V ตรงขาหลังนี้ไม่ใช่เส้นขีดตรง ๆ แต่จะสลักคำว่า Cartier ไว้อย่างแนบเนียน เล็กจนมองเผิน ๆ ไม่ออก ดูเหมือนเป็นเส้นเดียวกันตลอด

ถึงตอนนี้ พ่อบ้านก็เลยเฉลยว่า นาฬิกาเรือนนี้ปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะซื้อมาจากตลาดนาฬิกาที่พัฒพงษ์จ้ะ เล่นเอาเพื่อนชาวสวิสของเราอึ้งไปเลย แต่จากนั้นมา เรากลับมาครุ่นคิดอีกที ก็อาจเป็นไปได้ว่า อุปกรณ์จำนวนมากของนาฬิกาสวิสนั้น ทำในต่างประเทศ แล้วเอามาประกอบในสวิตฯ ก็เป็นไปได้ว่า ช่างฮ่องกงหรือไต้หวันหรือจีนแดงทำเอาไว้เกิน ๆ แล้วก็เอาที่เหลือไปประกอบเป็นนาฬิกาขายถูก ๆ ดังนั้น นาฬิกาที่พ่อบ้านมี (ตอนนี้เสียไปแล้ว) ก็คงจะมีอุปกรณ์จริงหลายตัว แต่ไม่ได้ประกอบในสวิตฯ หรือโดยช่างสวิสนอกเรื่องด้วยประการฉะนี้ค่ะ

กลับมาคุยเรื่องนาฬิกาต่อ ในประเทศสวิตฯจะมีงานแสดงอย่างยิ่งใหญ่ปีละสองงานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ งานหนึ่งจัดที่เมืองบาเซิ่ล คือ The World Watch and Jewellery Show in Basel ซึ่งมีคนมาชมถึง ๙๐,๐๐๐ คนในช่วงเวลา ๘ วัน (ปี ค.ศ. ๒๐๐๕) ส่วนอีกงานหนึ่งจัดที่เมืองเจนีวาค่ะ ใช้ชื่อว่า the Salon International de la Haute Horlogerie (SIHH) หรือ International Salon for Prestige Watchmaking เป็นการแสดงเฉพาะนาฬิกาชั้นเลิศเท่านั้น โดยแขกที่มาชมจะต้องเป็นผู้ชำนาญการเรื่องนาฬิกาและต้องได้รับเชิญจากบริษัทนาฬิกาที่มาแสดงโดยเฉพาะ ปี ๒๐๐๕ มีคนเข้าชมประมาณ ๑๑,๕๐๐ คน ถือว่า เป็นงานแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของเจนีวาค่ะ (รองจากงานมอเตอร์โชว์แสดงรถยนต์) งานนี้จะนำเสนอเฉพาะนาฬิการุ่นล่าสุด แบบที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทำยากที่สุด ซับซ้อนที่สุด และที่สุดของที่สุดหลาย ๆ อย่าง หรือประเภทมีผลิตออกมาแค่รุ่นเดียว หรือมีแค่เรือนเดียวในโลก ประมาณนั้นค่ะ

นอกจากงานแสดงในประเทศแล้ว ในปี ๒๐๐๓ ก็ยังมีการจัดแสดงนอกประเทศด้วย โดยใช้ธีมของการจัดแสดงว่า "Think Time, Think Swiss Excellence" งานนี้จัดครั้งแรกที่เมืองเซ็นต์ปีเต้อร์สเบิร์ก ตามด้วยบรัสเซลล์ กรุงเทพฯ และมุมไบ (บอมเบย์) ไม่รู้ว่าที่บ้านเรามีใครได้ไปเที่ยวงานที่ว่าบ้างหรือเปล่า ยี่ห้อนาฬิกาสวิสที่น่ารู้จักก็ได้แก่ A Lange & SohneAudemars Piguet (อันนี้เราได้เป็นรางสวัลจับฉลากตอนไปแข่งแรลลี่ที่อินเตอร์ลาเก้น)BVLGARIBedat & Co.Breguet (นโปเลียนเคยสั่งทำนาฬิกายี่ห้อเบรเกะต์นี้ด้วย)Bell & Ross BreitlingCartier (ที่พ่อบ้านไปซื้อของปลอมมาไงคะ)CorumDe GrisogonoEbelEmaSFranck MullerGirard-PerregauxGlycineHarry WinstonIWC (ย่อมาจาก International Watch Company - สุดยอดนาฬิกาดีและแพงอีกยี่ห้อหนึ่ง)Jaeger-LeCoultreLouis Vuitton (อ้าว...นึกว่าทำแต่กระเป๋า)Omega (นี่ก็นาฬิกาประจำใจค่ะ คุณแม่เคยมีเรือนนึง) OrisPanerai (อ่านเผิน ๆ เหมือน พรรณราย นะคะ)Patek Philippe (เขามีมิวเซียมนาฬิกาน่าสนใจค่ะ วันหลังจะพาไปเที่ยว)Prestige Roger DubuisRolex (ยี่ห้อนี้เชื่อว่า ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จัก???)Scatola Del TempoTag HeuerTudorVintage Rolex Ulysse Nardin Vacheron ConstantinZenith

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ฝนตกเกิดจาก....?

ฝนตกเกิดจาก น้ำโดนความร้อนของแสงจากดวงอาทิตย์หรือความร้อนอื่นใดที่ใช้ในการต้มน้ำ จนทำให้ระเหยกลายเป็นไอน้ำ ลอยขึ้นไปในอากาศ เมื่อไอน้ำมากขึ้นจะรวมตัวกันเป็นละอองน้ำเล็กๆ ปริมาณของละอองน้ำยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆก็จะรวมตัวกันเป็นเมฆฝน พอมากเข้าอากาศไม่สามารถพยุงละอองน้ำเหล่านี้ต่อไปได้ น้ำก็จะหล่นลงมายังผืนโลกให้เราเรียกขานกันว่าฝนตก วัฏจักรของน้ำที่เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่โลกใบกลมของเราเกิดขึ้นมา และคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆชั่วกัปกัลป์ ฝนที่ตกลงมานั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของวัฏจักรของอุทกวิทยา ซึ่งน้ำจากผิวน้ำในมหาสมุทรระเหยกลายเป็นไอ ควบแน่นเป็นละอองน้ำในอากาศ ซึ่งรวมตัวกันเป็นเมฆ และในที่สุดตกลงมาเป็นฝน ไหลลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง ไปสู่ทะเล มหาสมุทร และวนเวียนเช่นนี้เป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด ปริมาณน้ำฝนนั้นวัดโดยใช้ มาตรวัดน้ำฝน โดยเป็นการวัดความลึกของน้ำที่ตกลงมาสะสมบนพื้นผิวเรียบ สามารถวัดได้ละเอียดถึง 0.25 มิลลิเมตร หรือ 0.01 นิ้ว บางครั้งใช้หน่วย ลิตรต่อตารางเมตร (1 L/m? = 1 mm) เกิดจากอนุภาคของไอน้ำขนาดต่างๆในก้อนเมฆเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นจนไม่สามารถลอยตัวอยู่ในก้อนเมฆได้ก็จะตกลงมาเป็นฝน ฝนจะตกลงมายังพื้นดินได้นั้นจะต้องมีเมฆเกิดในท้องฟ้าก่อน เมฆมีอยู่หลายชนิด มีเมฆบางชนิดเท่านั้นที่ทำให้มีฝนตก เราทราบแล้วว่าไอน้ำจะกลั่นตัวเป็นเมฆก็ต่อเมื่อมีอนุภาคกลั่นตัวเล็กๆอยู่เป็นจำนวนมากเพียงพอและไอน้ำจะเกาะตัวบนอนุภาคเหล่านี้รวมกันทำให้เกิด เป็นเมฆ เมฆจะกลั่นตัวเป็นน้ำฝนได้ก็ต้องมีอนุภาคแข็งตัว(Freezing nuclei) หรือเม็ดน้ำขนาดใหญ่ซึ่งจะดึงเม็ดน้ำขนาดเล็กมารวมตัว กันจนเป็นเม็ดฝน สภาวะของน้ำที่ตกลงมาจากท้องฟ้าอาจเป็นลักษณะของฝน,ฝนละอองหิมะหรือลูกเห็บซึ่งเรารวมเรียกว่าน้ำฟ้าจะตกลง มาในลักษณะไหนขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของอากาศในพื้นที่นั้นๆ น้ำฟ้าต้องเกิดจากเมฆ ไม่มีเมฆไม่มีน้ำฟ้าแต่เมื่อมีเมฆไม่จำเป็นต้องมีน้ำฟ้า เสมอไปเพราะเมฆหลายชนิดที่่ลอยอยู่เฉยๆไม่ตกลงมา มีเมฆบางชนิดเท่านั้นที่ทำให้เกิดน้ำฟ้า โดยปกติแล้ว ฝนจะมีค่า pH ต่ำกว่า 6 เล็กน้อย เนื่องมาจากการรับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเข้ามาซึ่งทำให้ส่งผลเป็นกรดคาร์บอนิก ในพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายนั้นฝุ่นในอากาศจะมีปริมาณแคลเซียมคาร์บอเนตสูง ซึ่งส่งผลต่อต้านความเป็นกรด ทำให้ฝนนั้นมีค่าเป็นกลาง หรือ แม้กระทั่งเป็นเบส ฝนที่มีค่า pH ต่ำกว่า 5.6 นั้นถึอว่าเป็น ฝนกรด (acid rain)

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หุ่นกระบอกน้ำ







หุ่นกระบอกน้ำ
เป็นการแสดงหุ่นกระบอกของเวียดนาม มีการแสดงเฉพาะที่ฮานอย ในโรงละครริมทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม บนถนนดิงห์เตียมฮว่าง ในประเทศไทยมีการนำมาแสดงบางส่วนที่พัทยา
การแสดง
หุ่นกระบอกน้ำ ใช้ผู้เชิดอยู่หลังมู่ลี่ไม้ไผ่ที่มีการพรางไว้ ตัวหุ่นเชิดจะอยู่ที่ปลายไม้ที่ยาวพอที่จะยื่นออกมานอกฉากที่ผู้เชิดบังคับ มีกลไกบังคับมือหรืออวัยวะของหุ่นที่ทำจากไม้ฉำฉาที่เบาและพยุงน้ำหนักเมื่ออยู่ในน้ำ และการเชิดต้องไม่ให้เห็นไม้บังคับหุ่น จึงทำให้ดูเหมือนหุ่นมีลีลาของตนเอง

โรงละครหุ่นกระบอกน้ำ (Municipal Water Puppets)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม บนถนนดิงห์เตียมฮว่าง (Pho Dinh Tien Hong) ค่าเข้าชมละครหุ่นกระบอกน้ำ 20,000 และ 40,000 ดอง เปิดการแสดงวันละหลายรอบ การแสดงหุ่นกระบอกน้ำของเวียดนาม ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาติทีเดียวและกำลังจะสูญหายไปจากโลก การแสดงหุ่นกระบอกน้ำเริ่มต้นบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง จากการที่บริเวณนี้มีน้ำท่วมทุกปีจึงให้เกิดแรงบันดาลใจให้คิดค้นการละเล่นเพื่อสร้างความบันเทิงระหว่างที่น้ำท่วมเป็นเวลานาน

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วิธีการพักสายตา จากการใช้คอมพิวเตอร์ด้วย_สีเขียว_














คนเราส่วนใหญ่จะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากๆ มีบางครั้งล้าสายตาหรือปวดตา ทำให้เกิดการระคายเคือง ตาอักเสบ วิธีการช่วยบรรเทาการปวดตา
1. หลับตา แล้วเกือกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับให้นิ้งประมาณ 5 นาที
2. ออกไปสูดอากาศหายใจจะได้ผ่อนคลายไปในตัว
3. มองดูอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว เช่น ต้นไม้ สนามหญ้า ฯลฯ หรืออะไรก็ได้ ที่มองแล้วสบายหูสบายตา วิธีนี้ส่วนมากใช้ได้ผล 70%
4. หาอุปกรณ์ เช่น แว่น ฯลฯ

คนเราส่วนใหญ่จะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากๆ มีบางครั้งล้าสายตาหรือปวดตา ทำให้เกิดการระคายเคือง ตาอักเสบ วิธีการช่วยบรรเทาการปวดตา
1. หลับตา แล้วเกือกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับให้นิ้งประมาณ 5 นาที
2. ออกไปสูดอากาศหายใจจะได้ผ่อนคลายไปในตัว
3. มองดูอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว เช่น ต้นไม้ สนามหญ้า ฯลฯ หรืออะไรก็ได้ ที่มองแล้วสบายหูสบายตา วิธีนี้ส่วนมากใช้ได้ผล 70%
4. หาอุปกรณ์ เช่น แว่น ฯลฯ

เมื่อเทคโนโลยีมันก้าวมาถึงขีดที่คอมพิวเตอร์ซึ่งเคยแสนวิเศษ

กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์ธรรมดาๆ ที่จำเป็นต้องมีของทุกหน่วยงาน ทุกคนต้องใช้ได้ใช้เป็น และเรากำลังหลงใหลได้ปลื้มกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ จนลืมนึกถึงพิษภัยที่มันมากับคอมพิวเตอร์ แม้จะไม่ใช่ทางตรงทีเดียวกันก็ตาม พิษภัยนี้มีไว้สำหรับท่านที่นั่งใช้อยู่หน้าจอเป็นประจำเท่านั้น โดยเฉพาะท่านที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอเกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน จากการนั่งทำงานเป็นประจำ ผลกระทบต่อสุขภาพเบื้องต้นที่แน่ๆ ก็คือ ปวดหลัง ปวดไหล่ ต้นคอ และข้อมือ เกิดอาการเครียดที่ตา เพราะขณะมองจอนั้นผู้ใช้มักไม่กะพริบตา เป็นผลให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงเกิดอาการระคายเคืองได้ และอาการที่ตามมาคือตาพร่าและมองไม่เห็นชั่วคราว นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการไมเกรนพ่วงมาด้วย

ปัญหาทางตาเป็นปัญหาที่น่าห่วงมาก

เพราะเมื่อตาเกิดความเครียดกล้ามเนื้อตา จะบีบรัดเลนซ์ตาจนเกิดความเมื่อยล้า หมอจึงแนะนำว่า ถ้าต้องใช้สายตาอยู่กับจอนานๆ ควรพักสายตาทุกสิบนาที ด้วยการเปลี่ยนไปมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปสัก 20 ฟุต มองสัก 2-3 นาทีแล้วค่อยมองจอต่อ จักษูแพทย์ได้แนะให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ต้องพักสายตาให้มองไกลทุก 10 นาที และท่านที่มีปัญหาสายตาสวมแว่นอยู่แล้วนั้น ถ้าต้องมารับหน้าที่อยู่หน้าจอนานๆ ควรมีแว่นตาเฉพาะสำหรับงานหน้าจอนี้ด้วยอีกอันหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากแว่นตาที่ใช้ยามปกติ ส่วนจะแตกต่างอย่างไร คงต้องปรึกษาจักษุแพทย์ และในขณะเดียวกันท่านเหล่านี้ควรได้รับการตรวจวัดสายตาเป็นประจำ เพื่อให้ได้ขนาดเลนซ์ที่เหมาะสม
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการถนอมสายตาที่ยังไม่มีปัญหา
ท่านไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่มีสีสว่างขณะนั่งหน้าจอ เพราะสีของเสื้อจะไปทำให้เกิดแสงสะท้อนบนจอภาพได้ และแสงสะท้อนนี้แหละที่จะทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้ากว่าปกติ และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาเมื่อยล้าได้คือ ถ้าแสงจากจอสว่างน้อยกว่าแสงโดยรอบ ข้อนี้ผู้จัดสำนักงานควรจะมีความรู้ด้วย

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทำอย่างไรเมื่อรู้สึกเบื่ออาหาร ?

เคยได้ยินเสียงบ่นเสมอว่า “เบื่อจังเลย กินอะไรก็ไม่อร่อย กินไม่ลง ไม่อยากกินเลย” หรืออีกหลาย ๆ ประโยคที่แสดงให้ผู้ฟังรู้สึกว่าผู้กล่าวมีอาการเบื่ออาหาร กินอาหารได้น้อยลง แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจในปัญหาและหาทางแก้ปัญหาเหล่านั้น หรือจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปล่อยอาการเหล่านั้นอยู่กับตัวเราเป็นระยะเวลานาน

ใครบ้างมีปัญหาเบื่ออาหาร ?

คนที่ไม่เคยมีอาการเช่นนี้จะไม่เข้าใจเลยว่าอาการเบื่ออาหาร กินไม่ลง เป็นอย่างไร เพราะแทบทุกคนกินอาหารวันละ 2-3 มื้อหรือมากกว่า ดังนั้นเมื่อถึงเวลาอาหารก็จะรู้สึกหิว ท้องร้อง หรือแสบท้องเพราะน้ำย่อยถูกขับออกมาแล้ว แต่บางคนไม่ต้องถึงเวลาอาหารก็กิน และกินได้ตลอดเวลาแม้จะไม่ใช่เวลาอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อ้วน

ทุกคนมีโอกาสเกิดความรู้สึกเบื่ออาหารได้ เช่น เมื่อสมัยเด็ก ยังเรียนหนังสือ โดยเฉพาะตอนใกล้สอบซึ่งต้องดูหนังสือหามรุ่งหามค่ำ ทำให้กินอาหารได้น้อย

เมื่อเติบโตขึ้น ความเบื่ออาหารจะปรากฏเมื่อเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น เป็นไข้ เป็นหวัด หรือไม่สบอารมณ์คนใกล้ชิด เพื่อนร่วมงาน มีปัญหาในการทำงาน ซึ่งอาการเบื่ออาหารจะเกิดในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อร่างกายปรกติหรือแก้ปัญหาได้แล้ว ความอยากกินอาหารก็กลับมาเหมือนเดิม หรือกินมากขึ้นกว่าเดิมอีก

การเบื่ออาหารในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ไม่ทำให้เกิดปัญหาแก่สุขภาพเท่าใดนัก แต่คนบางกลุ่มเมื่อเบื่ออาหารจะมีผลถึงสุขภาพหรือเจ็บป่วยได้ กลุ่มคนเหล่านั้นก็ได้แก่

- ผู้สูงอายุ ปัญหาที่ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหารมีหลายประการ เช่น การถูกทอดทิ้งให้อยู่ลำพัง ไม่มีใครหาอาหารให้ กินอาหารซ้ำๆ รายได้น้อยลง ฟันมีปัญหา เคี้ยวอาหารไม่ได้

- ผู้ป่วย ทั้งผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวที่บ้านและผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ส่วนหนึ่งจะรู้สึกเบื่ออาหารจากสาเหตุต่างๆ เช่น วิตกกังวลกับความเจ็บป่วยและการรักษา แปลกสถานที่ อาหารที่ได้รับบริการจากโรงพยาบาลไม่ตรงกับบริโภคนิสัย หรือผู้ป่วยบางคนได้รับยาที่ใช้ในการรักษา และผลข้างเคียงของยาทำให้เบื่ออาหาร เช่น การได้รับเคมีบำบัด

- เด็กทั้งก่อนวัยเรียนและในวัยเรียน เด็กในวัยนี้ส่วนใหญ่ร่างกายและจิตใจกำลังเปลี่ยนแปลง ห่วงเล่นมากกว่ากิน จึงเล่นมากจนเบื่ออาหารและกินอาหารได้น้อย ถ้าพ่อแม่หรือผู้ดูแลไม่ให้ความสนใจ เด็กจะกินอาหารได้น้อยหรือไม่กินอาหารเลย ทำให้ได้รับพลังงานและสารอาหารน้อยลงไปด้วย

- เด็กที่เจ็บป่วย ทุกครั้งที่มีอาการเจ็บป่วย เด็กมักจะกินอาหารได้น้อยหรือบางรายไม่ยอมกินอาหารเลย ทำให้ระยะเวลาในการเจ็บป่วยยาวนานขึ้น หรือมีโรคแทรกได้ง่าย


ปัญหาจากความเบื่ออาหาร

ผู้ที่มีอาการเบื่ออาหารแสดงว่ากินอาหารได้น้อยลงกว่าปกติ พลังงานและสารอาหารที่ร่างกายได้รับจะน้อยลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในขณะนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงแตกต่างไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน เช่น

ผู้ที่เบื่ออาหารเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่ามาตรฐานหรืออ้วน ความเบื่ออาหารจะทำให้น้ำหนักลดลง ผู้เบื่ออาหารมีน้ำหนักตัวปกติ จะทำให้น้ำหนักตัวลดลง ในระยะยาวจะเกิดภาวะขาดพลังงานและสารอาหาร ความแข็งแรงและความต้านทานโรคลดลง ทำให้เจ็บป่วยง่ายขึ้น

ผู้เบื่ออาหารอยู่ในภาวะเจ็บป่วย การรักษาและฟื้นฟูให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพเดิมต้องใช้เวลานาน เกิดโรคแทรกซ้อนหรือติดเชื้อได้ง่ายจากปัญหาภูมิคุ้มกันลดลง

ผู้เบื่ออาหารอยู่ในวัยสูงอายุ ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ภูมิต้านทานลดลง เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

ผู้เบื่ออาหารเป็นเด็ก ทำให้ขาดพลังงานและสารอาหาร เกิดความเจ็บป่วยบ่อย ในระยะยาวการเจริญเติบโตช้าลง ส่งผลถึงความเจริญของสมอง และการเรียนรู้ช้าลงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

การแก้ไข

เมื่อเกิดความเบื่ออาหารจนทำให้น้ำหนักลดลง คงต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร ถ้าเป็นเรื่องความเจ็บป่วยก็ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจให้ทราบว่าเป็นโรคอะไรกันแน่และทำการรักษา หากอยู่ในระหว่างรักษาตัวและมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าให้พยายามกิน พยายามกลืน เพราะกินไม่ลง กลืนไม่ลงจริง ๆ

ปัญหาเช่นนี้เคยเกิดกับตัวผู้เขียน แล้วไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร น้ำหนักค่อย ๆ ลดลง ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้นน้ำหนักลดลงมากกว่าร้อยละ 10 ของน้ำหนักเดิม ทำให้วิตกว่าจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า และเป็นที่ไหน เพราะการที่น้ำหนักลดลงมากเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งจนต้องพบแพทย์ จึงทราบว่าเป็นผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษาอาการอักเสบของข้อหรือโรครูมาตอยด์ จะไม่กินยาเลยก็ไม่ได้ เพราะอาการอักเสบยังไม่หายเป็นปกติ

แพทย์จึงแก้ปัญหาด้วยการลดปริมาณยาลง แต่ความเบื่อก็ไม่ดีขึ้น จึงช่วยตัวเองด้วยการพยายามกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ น้ำหนักก็ยังไม่เพิ่มขึ้น เพราะปริมาณอาหารที่กินก็ยังน้อย ทำให้ได้รับพลังงานไม่พอกับความต้องการของร่างกาย

คนที่เข้าใจว่ากินอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้วร่างกายจะแข็งแรงก็ควรทำความเข้าใจด้วยว่า อาหาร 5 หมู่เพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องคำนึงถึงปริมาณอาหารที่กินด้วย


วิตกจริตเรื่องมะเร็งยังไม่หาย จึงได้ทำการตรวจทุกระบบของร่างกายอย่างละเอียด ทั้งลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ตับ ไต รวมถึงมดลูกด้วย ปรากฏว่าทุกระบบปกติดี เป็นการยืนยันว่าน้ำหนักที่ลดลงนั้นเป็นผลข้างเคียงของยาจริง ๆ ไม่เกี่ยวกับโรคมะเร็งแน่

แต่การจะปล่อยให้น้ำหนักลดลงเรื่อย ๆ ในระยะยาวย่อมไม่ดีต่อสุขภาพแน่ การเปลี่ยนสถานที่กินอาหาร โดยเฉพาะไปกินอาหารกับเพื่อน ๆ ช่วยให้กินอาหารได้มากขึ้นและลดความเบื่ออาหารได้บ้าง การนำอาหารเสริมมาใช้ก็เป็นหนทางหนึ่งที่นำมาแก้ปัญหา แต่ต้องปรึกษาแพทย์หรือนักกำหนดอาหารที่มีความรู้ความเข้าใจด้านอาหารและโภชนาการเพื่อขอคำแนะนำ

อาหารเสริมในที่นี้ไม่ใช่ในรูปของยาเป็นเม็ด ๆ ที่เห็นทั่วไป แต่เป็นอาหารทางการแพทย์ในลักษณะเป็นผง นำมาชงหรือละลายน้ำดื่ม

หรือเป็นน้ำที่เปิดกระป๋องแล้วดื่มได้เลย อาหารผ่านการทดลองทางการแพทย์มาแล้ว จึงปลอดภัยในการใช้ แพทย์จะให้อาหารชนิดนี้แก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถกินอาหารทางปากได้ โดยให้ผ่านสายให้อาหาร ซึ่งในท้องตลาดมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีข้อจำกัดในการใช้แตกต่างกัน จึงต้องขอคำแนะนำจากแพทย์หรือนักกำหนดอาหารก่อน และไม่ควรหาซื้อมาใช้เอง

เนื่องจากอาหารมีหลายชนิด แต่ละชนิดให้พลังงานและสารอาหารแตกต่างกัน รวมทั้งมีกลิ่นและรสไม่เหมือนกัน บางชนิดรสดีแต่กลิ่นแรง บางชนิดรสขมแต่กลิ่นหอม คนที่ไม่คุ้นกับกลิ่นและรสจึงไม่สามารถดื่มได้ทั้งที่มีประโยชน์และจำเป็นต้องดื่ม จึงเป็นเรื่องที่ต้องแก้ปัญหาอีกว่าทำอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์จากอาหารเสริมหรือดื่มอาหารเสริมนั้นได้

ผู้เขียนเคยแนะนำผู้ป่วยที่ต้องใช้อาหารเสริมว่า ถ้ามีชนิดที่เป็นผงควรเลือกซื้อขนาดบรรจุที่เล็กที่สุด เพื่อทดลองการยอมรับของตนเอง และอย่าเพิ่งสนใจข้อแนะนำปริมาณที่กำหนดให้ใช้ในการชง เพราะปริมาณที่กำหนดไว้อาจจะมากเกินไปสำหรับการใช้ในระยะแรกซึ่งยังไม่คุ้นเคย ทดลองชงในปริมาณน้อยๆ ก่อน ถ้ายอมรับได้จึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณ หรืออาจจะผสมกับเครื่องดื่มอื่น เช่น โกโก้ โอวัลติน ชา หรือกาแฟ เพื่อกลบกลิ่นและเสริมให้รสชาติดีขึ้น ลองทำเป็นเครื่องดื่มร้อนบ้าง เย็นบ้าง เพื่อให้มีความหลากหลายและลดความเบื่อลงได้บ้าง

ความรู้สึกเบื่ออาหารอาจเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ แล้วหายได้เอง แต่ถ้าเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานจนทำให้น้ำหนักตัวลดลง ก็จะเกิดปัญหาต่อสุขภาพได้

การสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายทั้งของตนเอง คนใกล้เคียง หรือพ่อแม่ ผู้สูงอายุ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเบื่ออาหารซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาของสุขภาพในระยะยาวได้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
คุณเคยให้ความสนใจและสังเกตตนเองบ้างหรือเปล่า ?

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Hemidactylus



Ce genre contient de nombreuses espèces (plus de soixante-dix). On trouve ses représentants en Afrique, en Asie, en Océanie et en Amérique du Sud.
Bon nombre de ces geckos sont arboricoles et nocturnes et vivent dans des forêts humides.Les mâles ont souvent la possibilité de vocaliser.Leur taille varie de 5 ou 6cm à près de 20cm.Leur coloration varie en général autour du brun clair ou foncé et du jaune pâle, avec la présence fréquente de bandes ou de taches.Un certain nombre d'espèces possèdent une queue préhensile.
Certaines espèces sont supposées parténogénique, et peuvent même exister à la fois avec une reproduction sexuée et parténogénique.
Le nom de ce genre à pour origine le grec ημι, moitié, et δακτυλος, doigt, en référence au fait que la deuxième moitié du doigt est mince et grêle chez ces espèces.