Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ภาวะโลกร้อนเกิดจากกกกกก?????


ปรากฏการณ์โลกร้อน

ปรากฏการณ์โลกร้อน หรือ ภาวะโลกร้อน (global warming) คือปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและผืนมหาสมุทรสูงขึ้น โดยมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ ภาวะโลกร้อนถือเป็นผลพวงจากการมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นในบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุให้รังสีความร้อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามาถูกกักไว้ในโลกโดยไม่สามารถสะท้อนกลับออกไปได้ หรือที่เรียกว่าภาวะเรือนกระจก การเกิดขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากกระบวนการเผาไหม้ของการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อาทิ น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน เป็นต้น ทั้งจากกิจกรรมการขนส่งและการผลิตกระแสไฟฟ้า แนวทางหนึ่งของการลดปริมาณการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คือ ลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น อาทิ พลังงานชีวมวล พลังงานน้ำ พลังลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง พลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีมารองรับ ซึ่งปัจจุบันการใช้พลังงานหมุนเวียนบางประเภทยังมีต้นทุนที่แพงกว่าพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง) มีกระแสต่อต้านจากมวลชนเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานน้ำจากการสร้างเขื่อน) และปัญหาความเพียงพอของวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิง (เช่น พลังงานชีวมวล ซึ่งใช้วัตถุดิบร่วมกับภาคเกษตร) สาเหตุ มหันตภัยร้ายที่กำลังคุกคามโลกอยู่ขณะนี้ คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ปริมาณมหาศาลที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกหนาขึ้นเท่าไร ก็จะเป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ ก็จะส่งผลให้อุณหภูมิของบรรยากาศโลก สูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือและธารน้ำแข็งบนภูเขาทั้งหมดทั่วโลกค่อยๆ ละลายลงเรื่อยๆ และอาจจะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นถึง 20 ฟุต จากโรงงานอุตสาหกรรม การใช้ยานยนต์ สารเคมี ผลกระทบ ต่อสภาพภูมิอากาศ สภาพอากาศแปรปรวนมากยิ่งขึ้น ความชื้นในอากาศเพิ่มมากขึ้นเนื่องด้วยการระเหยของน้ำที่มากขึ้น ความไม่มั่นคงของอุณหภูมิ ต่อทะเลและมหาสมุทร ธารน้ำแข็งและน้ำแข็งตามทั่วโลกละลาย น้ำทะเลสูงขึ้น อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้น การเปลี่ยนสภาวะของน้ำเป็นกรด การหยุดไหลของกระแสน้ำอุ่น ต่อมนุษย์ เกิดการขาดแคลนน้ำดื่ม เกิดการอพยพย้ายที่อยู่อาศัยเนื่องจากโดนน้ำท่วม เกิดโรคร้ายเพิ่มขึ้น " 10 วิธีแก้ภาวะโลกร้อน ปัญหาใหญ่ของสังคมทุนนิยม " ทุกวันนี้ คงสามารถรู้สึกได้กันทุกคนถึง ภาวะโลกร้อน ซึงปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรง เพิ่มขึ้นทุกวัน ถ้าเราสังเกตุจากข่าวประจำวัน จะทราบถึงความผิดปกติของโลกเรา น้ำท่วม โคลนถล่ม แผ่นดินไหว อากาศร้อนผิดปกติ ที่อินเดียปัจจุบันอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส เกิดจากผลผลิตทางอุตสาหกรรมซึ่งเกิดขึ้นทุกวัน ความร้อนต่างๆ และ สารเคมีที่ลอยสู่อากาศปกคลุมโลก

วิธีแก้วิกฤติโลกร้อน

1. ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แอร์ เครื่องปรับอากาศ พัดลม หากเป็นไปได้ ใช้วิธี เปิดหน้าต่าง ซึ่งบางช่วงที่อากาศดีๆ สามารถทำได้ เช่น หลังฝนตก หรือช่วงอากาศเย็น เป็นการลดค่าไฟ และ ลดความร้อน เนื่องจากหลักการทำความเย็นนั้นคือ การถ่ายเทความร้อนออก ดังนั้นเวลาเราใช้แอร์ จะเกิดปริมาณความร้อนบริเวณหลังเครื่องระบายความร้อน


2. เลือกใช้ระบบขนส่งมวลชน ในกรณีที่สามารถทำได้ ได้แก่ รถไฟฟ้า รถตู้ รถเมลล์ เนื่องจากพาหนะ แต่ละคัน จะเกิดการเผาผลาญเชื้อเพลิง ซึ่งจะเกิดความร้อน และ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นเมื่อลดปริมาณจำนวนรถ ก็จะลดจำนวนการเผาไหม้บนท้องถนน ในแต่ละวันลงได้


3. เวลาเดินเข้าห้างสรรพสินค้า หากมีใครเปิดประตูทิ้งไว้ ให้ช่วยปิดด้วยเนื่องจากห้างสรรพสินค้าแต่ละห้างนั้น มีพื้นที่มาก กว่าจะทำให้เกิดความเย็นได้ ก็จะก่อให้เกิดเกิดความร้อนปริมาณมาก ดังนั้นเมื่อมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ แอร์ก็จะยิ่งทำงานมากขึ้นเพื่อให้ได้ความเย็นตามที่ระบุไว้ในเครื่อง ซึ่งประตูที่เปิดอยู่จะนำความร้อนมาสู่ตัวห้าง เครื่องก็จะทำงานวนอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความร้อนอีกปริมาณมากต่อสภาพภายนอก


4. พยายามรับประทานอาหารให้หมด เศษอาหารที่เหลือทิ้งไว้จะก่อให้เกิดก๊าซมีเทน ซึ่งก่อให้เกิดปริมาณความร้อนต่อโลก เมื่อหลายคนรวมๆกันก็เป็นปริมาณความร้อนที่มาก


5. ช่วยกันปลูกต้นไม้ เพราะต้นไม้จะคายความชุ่มชื้นให้กับโลก และ ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุภาวะเรีอนกระจก


6. การชวนกันออกไปเที่ยวธรรมชาติภายนอก ก็ช่วยลดการใช้ปริมาณไฟฟ้าได้


7. เวลาซื้อของพยายามไม่รับภาชนะที่เป็นโฟม หรือกรณีที่เป็นพลาสติก เช่นขวดน้ำ พยายามนำกลับมาใช้อีก เนื่องจากพลาสติกเหล่านี้ทำการย่อยสลายยาก ต้องใช้ปริมาณความร้อน เหมือนกับตอนที่ผลิตมันมา ซึ่งจะก่อให้เกิดความร้อนกับโลกของเรา เราสามารถนำกลับมาใช้เป็นภาชนะใส่น้ำแทนกระติกน้ำได้ หรือใช้ปลูกต้นไม้ก็ได้


8. ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ อุจจาระจะปล่อยก๊าซมีเทนออกมา ดังนี้นอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ประเภทนี้ เมื่อมีจำนวนมากก็จะก่อให้เกิดความร้อนกับโลกเรามาก


9. ใช้กระดาษด้วยความประหยัด กระดาษแต่ละแผ่น ทำมาจากการตัดต้นไม้ ซึ่งเป็นเสมือนปราการสำคัญของโลกเรา ดังน้นการใช้กระดาษแต่ละแผ่นควรใช้ให้ประหยัด ทั้งด้านหน้าหลัง ใช้เสร็จควรนำมาเป็นวัสดุรอง หรือ นำมาเช็ดกระจกก็ได้ นอกจากนี้การนำกระดาษไปเผาก็จะเกิดความร้อนต่อโลกเราเช่นกัน10. ไม่สนับสนุนกิจการใดๆ ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรของโลกเรา และควรสนับสนุนกิจการที่มีการคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม


10. ไม่สนับสนุนกิจการใดๆ ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรของโลกเรา และควรสนับสนุนกิจการที่มีการคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม


สรุปว่า


- กิจกรรมจากเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นั้น จะส่งผลให้เกิดความร้อนต่อโลกเรา- เครื่องปรับอากาศ เช่นเดียวกัน สร้างให้เกิดความร้อนต่อโลก เนื่อง เป็นการระบายความร้อนจากบริเวณที่เราต้องการให้เย็นสู่


-ภายนอก ก็คือ สิ่งแวดล้อมนั่นเองยิ่งปริมาณพื้นที่มาก ปริมาณความร้อนที่เกิดจากการปรับอากาศยิ่งสูง


- ปริมาณ พลาสติก ที่ผลิตกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ต้องใช้ความร้อนเผาไหม้ในการทำลาย ซึ่งนอกจากใช้ความร้อนจำนวนมากแล้ว ยังเกิดสารเคมีลอยขึ้นไปปกคลุมโลกของเรา กลายเป็นลักษณะของกระจก


- ยานพาหนะ ที่ใช้น้ำมันในปัจจุบัน นอกจากความร้อนระหว่างการเผาไหม้แล้วยังเกิด ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งส่งผลต่อภาวะเรือนกระจก ดังนั้น การใช้การเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชน ไปกันหลายๆคน ต่อครั้ง ก็จะลดปริมาณการเผาไหม้


- และ กิจกรรมอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาที่ทำให้เกิดความร้อน และ สารเคมี ย่อมส่งผลต่อภาวะโลกร้อน


10 วิธีแก้ภาวะโลกร้อน

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

งู


งู (Snake) เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ไม่มีขา ไม่มีเปลือกตา มีเกล็ดปกคลุมผิวหนังทั่วทั้งลำตัว ลักษณะลำตัวยาวซึ่งโดยขนาดของความยาวนั้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของงู ปราดเปรียวและว่องไวในการเคลื่อนที่ มีลิ้นสองแฉกเพื่อใช้สำหรับรับความรู้สึกทางกลิ่น จัดอยู่ในชั้น Reptilia, ตระกูล Squamata, ตระกูลย่อย Serpentes โดยทั่วไปแล้วงูจะกลัวและไม่กัด นอกเสียจากถูกรบกวนหรือบุกรุก จะเลื้อยหลบหนีเมื่อมีสิ่งใดเข้ามาใกล้บริเวณที่อยู่ ออกล่าเหยื่อเมื่อรู้สึกหิว โดยกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเป็นอาหาร ยกเว้นงูบางชนิดที่กินงูด้วยกันเอง เช่นงูจงอาง สามารถมองเห็นได้ดีในที่มืดและในเวลากลางคืนโดยทั่วไปจะออกลูกเป็นไข่ ยกเว้นแต่งูที่มีพิษซึ่งมีผลโดยตรงทางด้านโลหิต (Vipers) ซึ่งจะออกลูกเป็นตัว เช่นงูแมวเซา ธรรมชาติโดยทั่วไปของงู จะทำการลอกคราบเป็นระยะเวลา และจะบ่อยครั้งเมื่องูยังมีอายุไม่มากนัก ซึ่งภายหลังจากการลอกคราบของงู จะทำให้เกล็ดที่ปกคลุมผิวหนัง มีสีสันสดใสรวมทั้งทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
ภายในประเทศไทยมีงูจำนวนมากตามสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิต ทั่วทุกภูมิภาพของประเทศไทยสามารถพบเห็นงูได้มากกว่า 180 ชนิด โดยเป็นงูที่มีพิษจำนวน 46 ชนิด และสามารถจำแนกงูที่มีพิษออกได้อีก 2 ประเภทคือ
งูที่มีพิษ โดยอาศัยอยู่บนบก จำนวน 24 ชนิด
งูที่มีพิษ โดยอาศัยอยู่ในทะเล จำนวน 22 ชนิด
ซึ่งโดยรวมแล้วงูที่มีพิษนั้น ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ งูที่มีพิษต่อระบบประสาทและงูที่มีพิษต่อระบบโลหิต

วิวัฒนาการ
งูเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (Amphibians) โดยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ภายในน้ำ อาศัยชีวิตบนบกบ้างในช่วงระยะเวลาหนึ่ง มีความสัมพันธ์ทางด้านสายของการวิวัฒนาการร่วมกับสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่น ๆ ที่จัดอยู่ใน ชั้น Reptilia ที่แบ่งออกเป็น 4 ลำดับ ดังนี้
ลำดับ Testudines
สัตว์เลื้อยคลานในลำดับนี้ได้แก่ เต่าชนิดต่าง ๆ (Turtles และ Tortoises)
ลำดับ Crocodylia
สัตว์เลื้อยคลานในลำดับนี้ได้แก่ จระเข้ (Crocodiles, Alligators และ Gavial)
ลำดับ Rhynchocephalia
สัตว์เลื้อยคลานในลำดับนี้ได้แก่ ตัว Tuatara ของนิวซีแลนด์
ลำดับ Squmata
สามารถแบ่งลำดับของสัตว์เลื้อยคลานใน ลำดับ Squmata ได้ 3 วงศ์ด้วยกัน ดังนี้
Suborder Lacertilia ได้แก้สัตว์เลื้อยคลานประเภทจิ้งจก (Lizards) ซึ่งมีจำนวนมาก ประมาณ 3,000 ชนิด
Suborder Amphisbaenia มีจำนวนประมาณ 130 ชนิด
Suborder Serpentes ได้แก่สัตว์เลื้อยคลานประเภทงู (Snakes) ซึ่งมีจำนวนมาก ประมาณ 2,700 ชนิด

ลักษณะทั่วไป
ลักษณะโดยทั่วไปของงูคือ มีลำตัวที่กลมยาว สามารถบิดโค้งงอร่างกายได้ ไม่มีหูและไม่มีขา เคลื่อนไหวร่างกายด้วยการเลื้อยด้วยอก งูบางชนิดมีติ่งงอกออกมาคล้ายกับเล็บขนาดเล็ก (Small horn-sheathed claws) ติ่งเล็ก ๆ นี้จะอยู่บริเวณช่องสำหรับเปิดอวัยวะเพศ ลักษณะเฉพาะตั้งแต่ศีรษะ คอ อก ช่องท้องรวมทั้งหาง มีความเหมือนที่ไม่แตกต่างกัน สามารถแบ่งแยกงูได้โดยการใช้ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลาง ในแต่ละส่วนของขนาดลำตัวเป็นตัวกำหนด ซึ่งในส่วนของขนาดลำตัวจะเป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่โตที่สุด
ลักษณะลำตัวของงู จะมีลักษณะเป็นทรงกระบอกตัน โดยมีภาพตัดขวางของลำตัวในหลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพตัดขวางในรูปแบบวงกลม ภาพตัดขวางในรูปแบบวงรี ในลักษณะแนวตั้งหรือแนวนอน รวมทั้งภาพตัดขวางในรูปบบรูปสามเหลี่ยม ซึ่งลักษณะของภาพตัดขวางที่มีความแตกต่างกันนี้เอง จะเป็นตัวกำหนดแหล่งที่อยู่อาศัยของงูในแต่ละชนิดภายในประเทศไทยและอินโด-มลายูมีงูอยู่จำนวนมากกว่า 100 ชนิด เช่นงูหลาม งูเหลือมซึ่งเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ สามารถเจริญเติบโตจนมีความยาวได้ถึง 10 เมตร ซึ่งงูชนิดนี้เป็นงูที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกับอนาคอนดา ซึ่งเป็นงูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
งูมีจำนวนมากมายหลากหลายชนิด โดยปกติงูจะมีอยู่ชุกชุม สามารถพบเห็นได้ทั่วไปเกือบทั่วทั้งประเทศไทย นอกจากพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศไทย ซึ่งจำนวนประชากรของงูลดน้อยลงเป็นอย่างมาก ซึ่งชนิดของงูนั้นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยด้วย เช่นพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่รกชื้น


Musique

La musique est l'art consistant à arranger et ordonner sons et silences au cours du temps : le rythme est le support de cette combinaison dans le temps, la hauteur celle de la combinaison dans les fréquences, etc. Dans certains cas, l'intrusion de l'aléatoire a cependant dénié tout caractère volontaire à la composition.
La musique est un art, celui de la Muse dans la mythologie grecque. Elle est donc à la fois une création (une œuvre d'art), une représentation, et aussi un mode de communication. Elle utilise certaines règles ou systèmes de composition, des plus simples aux plus complexes (les notes de musique, les gammes, etc.). Elle peut utiliser des objets divers, le corps, la voix, mais aussi des instruments de musique conçus spécialement.
La musique est évanescente : elle n'existe que dans l'instant de sa perception qui doit en reconstituer son "unité" dans la durée.
La musique a existé dans toutes société humaine, depuis la préhistoire. Elle est à la fois forme d'expression humaine individuelle (notamment l'expression des sentiments), source de rassemblement collectif et de plaisir (fête, chant, danse), symbole d'une communauté ou d'une nation (hymne national, style musical officiel, musique religieuse, musique militaire).


วิธีแก้กลิ่นเต่าแรง

ใครที่รู้ตัวว่ามีกลิ่นเต่าแรง วันนี้มีวิธีแก้กลิ่นเต่ามาฝาก...

วิธีแก้กลิ่นเต่าแรง คือ ให้นำ “สารส้ม” มาถูรักแร้ตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ แล้ว หรือไม่ก็นำ “ ใบตำลึง ” กับ “ ปูนแดง ” โดยตำใบตำลึงให้เละที่สุด แล้วนำมาผสมกับปูนแดงสักก้อนเล็ก ๆ ผสมให้ทั่วกันดีแล้ว ก็นำมาทาที่รักแร้เพียงบาง ๆ แล้วปล่อยให้แห้งเอง ควรทำตอนอาบน้ำก่อนไปทำงานตอนเช้า จะได้ทำงานได้ตลอดวัน โดยไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ออกมารบกวนใครต่อใคร

ถ้าอยากหายจากการมีกลิ่นเต่าแรง ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความสัมพันธ์ไทยฝรั่งเศส

เมื่อเทียบกับบรรดาประเทศในทวีปเอเชีย ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทหารยาวนานที่สุดกับประเทศฝรั่งเศส
สาระความร่วมมือส่วนใหญ่คือ
การส่งนักเรียนไทยไปเข้าเรียนในหลักสูตรการทหารที่โรงเรียนการทหารแซ็ง-ซีร์ (Saint-Cyr) ปัจจุบันมีนักเรียนทหารไทย 10 คน
การให้ทุนไปศึกษาที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศและวิทยาลัยเสนาธิการทหารบกอย่างละหนึ่งทุนเป็นเวลาหนึ่งปี
การดูงานของทหารเรือฝ่ายไทยเมื่อมีเรือรบของฝรั่งเศสเข้าเทียบท่าเรือในประเทศไทย (2-3 ครั้งต่อปี)
การเปิดสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนเตรียมทหาร จ. นครนายก
การไปเยือนระหว่างกันของนายทหารระดับสูง
การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญทางด้านยุทธการ
การเข้าร่วมสังเกตการณ์การฝึกคอบบร้า โกลด์ (Cobra Gold)
การเจรจาโดยเปิดกว้างและเปิดเผยในเรื่องยุทโธปกรณ์ เช่น คณะกรรมการส่งกำลังบำรุงทหารและงานการแสดงยุทโธปกรณ์ต่างๆ งานปารีส แอร์โชว์ (Le Bourget) เป็นต้น

เครื่องหมายวรรคตอน

เครื่องหมายวรรคตอน เป็นเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ที่เขียนขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเขียนอักษรในภาษาหนึ่ง ๆ เพื่อประโยชน์ในการแบ่งวรรคตอน มักจะไม่เกี่ยวกับระบบเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น
ในแต่ละภาษาจะมีเครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ กัน และมีกฎเกณฑ์การใช้ต่าง ๆ กัน ซึ่งผู้ใช้ภาษานั้น ๆ จะต้องทราบ และใช้ตามกฎที่ปฏิบัติกันมา เพื่อให้มีความเข้าใจในภาษาไปในทางเดียวกัน

เครื่องหมายวรรคตอนของไทย
ในเอกสารโบราณของไทยมีเครื่องหมายวรรคตอนของไทยอยู่หลายตัว และบางตัวนิยมใช้มาถึงปัจจุบัน โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มตามเกณฑ์การใช้งาน ดังนี้
เครื่องหมายกำกับเสียง ได้แก่
ไม้ยมก : ใช้เพื่อซ้ำเสียงเดิม
ทัณฑฆาต : ใช้เพื่อฆ่าเสียง หรือเพื่อไม่ออกเสียงพยัญชนะที่กำกับไว้
ยามักการ : ใช้เพื่อระบุการควบเสียง
เครื่องหมายกำกับวรรคตอน ได้แก่
ไปยาลน้อย : ใช้ย่อคำ
ไปยาลใหญ่ : ใช้ละข้อความ
ฟองมัน : ใช้ขึ้นต้นประโยค หรือบทกลอน
ฟองมันฟันหนู : ใช้ขึ้นต้นข้อความ
อังคั่นเดี่ยว (ขั้นเดี่ยว) : ใช้เขียนเมื่อจบประโยค หรือเป็นเครื่องหมายบอกวันเดือนทางจันทรคติ
อังคั่นคู่ (ขั้นคู่) : ใช้เขียนเมื่อจบข้อความใหญ่ หรือจบตอน
อังคั่นวิสรรชนีย์ : ใช้เขียนเมื่อจบเรื่อง
โคมูตร : ใช้เมื่อสิ้นสุดข้อความ หรือบทกลอน
หรือแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามเกณฑ์ที่มา ดังนี้
เครื่องหมายวรรคตอนที่เป็นของไทยแต่เดิม ได้แก่ ฟองมัน ตาไก่ โคมูตร เป็นต้น
เครื่องหมายวรรตอนที่รับอิทธิพลการเขียนจากต่างประเทศ เช่น จุลภาค มหัพภาค เป็นต้น

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เคล็ดลับการจำคำศัพท์....จำศัพท์อย่างไรให้แม่น




รู้สึกสมองตื้อทุกครั้งเมื่อนึกถึงการที่ต้องท่องจำศัพท์ภาษาอังกฤษซะมากมายใช่มั้ยคะ วันนี้มีเคล็ดลับดีๆมาฝากค่ะ ^^
1. ความเกี่ยวเนื่อง: ถ้าจัดคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์แล้วเขียนออกมาเป็นแผนผังจะทำให้จำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น
2. เขียน: การนำคำศัพท์นั้นมาใช้จะทำให้จำได้ฝังใจยิ่งขึ้น ลองเขียนแต่งประโยคโดยนำศัพท์ใหม่ที่เรียนนั้นมาประกอบหรือแต่งเรื่องโดยใช้กลุ่มคำศัพท์หรือสำนวนที่เรียนอยู่
3.วาดรูป: ดึงวิญญาณศิลปินตัวน้อยออกมาใช้ โดยการวาดรูปที่แสดงถึงศัพท์ที่เรียนอยู่ ภาพที่วาดจะช่วยกระตุ้นความทรงจำถึงศัพท์นั้นในอนาคต
4. แสดง: แสดงท่าทางประกอบคำศัพท์หรือสำนวนที่กำลังเรียนอยู่ หรือจินตนาการว่าจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ศัพท์คำนั้น
5. สร้าง: ออกแบบสมุดศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมความหมายแล้วเปิดอ่านหรือท่องในยามว่าง ทำเล่มใหม่ขึ้นทุกอาทิตย์และอย่าลืมทบทวนอันเก่าไปพร้อมๆ กันด้วยหล่ะ
6. ความสัมพันธ์: กำหนดแต่ละสีให้แต่ละคำศัพท์ ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะช่วยให้จำศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นเมื่อนึกถึงคำนั้นในคราวต่อไปนะคะ
7. ฟัง: นึกถึงศัพท์คำอื่นที่ออกเสียงคล้ายๆ กับคำศัพท์ใหม่ที่กำลังเรียนอยู่ ใช้ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ในการช่วยให้จำการออกเสียงของคำใหม่นั้นได้ง่ายขึ้น
8. เลือก: จำไว้ว่าการเรียนในหัวข้อที่ชอบหรือสนใจจะทำให้รู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ฉะนั้นควรใส่ใจในการเลือกคำศัพท์ที่คิดว่ามีประโยชน์หรือน่าสนใจ เพราะแม้แต่กระบวนการเลือกคำที่จะเรียนก็มีผลให้จำได้แม่นและเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน !
9. ข้อจำกัด: มันเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะจำศัพท์ที่มีอยู่ในดิกชันนารี่ทั้งหมดได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นจำกัดการเรียนศัพท์ใหม่แค่วันละ 15 คำก็พอแล้ว ซึ่งถ้าพยายามจำให้มากคำเกินไปกว่านี้แทนที่มันจะทำให้รู้สึกมั่นใจกลับจะทำให้สมองตื้อแทน
10. สังเกต: พยายามสังเกตหาคำศัพท์ที่คุณกำลังเรียนอยู่เมื่ออ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตลก




ตลก....รึป่าว


ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งก่อนเริ่มการสอนจะต้องงัดเอาเรื่องตลกสัปดนมาเล่าทุกครั้งบางเรื่องก็ใช้ภาษาแบบโจ๋งครึ่มจนนักศึกษาหญิงอายหน้าแดงไปตาม ๆ กันกลุ่มนักศึกษาหญิงจึงรวมหัวกันประท้วงด้วยการเดินออกนอกห้องหากศาสตราจารย์ผู้นั้น เล่าเรื่องสัปดนในชั้นเรียนอีกศาสตราจารย์ไม่รู้ว่านักศึกษาหญิงกำลังตั้งป้อมประท้วงวันต่อมาเมื่อเข้าสอนจึงหาเรื่องตลกสัปดนมาเล่าอีก“สวัสดีนักศึกษาทุกคน มีใครรู้บ้างมั๊ยว่าขณะนี้ประเทศอินเดียกำลังขาดแคลนกะหรี่ ? ”เพียงเริ่มต้นได้ประโยคเดียวนักศึกษาที่เป็นหญิงลุกขึ้นยืนพร้อมกันหมดแล้วเดินตรงไปที่ประตู“เดี๋ยวก่อนพวกสาว ๆ จะรีบไปไหน ?” ศาสตราจารย์กวักมือเรียก“เรือที่จะไปอินเดียยังไม่ออกวันนี้หรอก ต้องรอพรุ่งนี้เช้า”

ชู้กับม้า
เรื่องเกิดภายในบาร์แห่งหนึ่งเมื่อชาย3คนมาปรับทุกข์เรื่องที่เมียมีชู้ ชายคนแรก "เมียผมเป็นชู้กับช่างไฟครับ"ชายคนที่สาม "คุณรู้ได้ยังไง?"ชายคนแรก "เพราะผมเจอสายไฟกับไขควงอยู่ใต้เตียงน่ะสิ" ชายคนที่สอง "เมียผมก็เป็นชู้กับช่างประปาครับ"ชายคนที่สาม "คุณรู้ได้ยังไง?" ชายคนที่สอง "ผมก็เจอท่อประปากับประแจอยู่ใต้เตียงน่ะสิ" ชายคนที่สาม "ถ้างั้นเมียผมก็เป็นชู้กับม้าน่ะสิ..." ชายคนแรกและคนที่สอง "ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะ!" ชายคนที่สาม "ก็ผมเจอ จ๊อกกี้ อยู่ใต้เตียงน่ะสิ...."

เห็นเป็น ผี
มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนขับรถแท๊กซี่ วันหนึ่งเขากำลังขับรถกลับบ้าน เขาเห็นผู้หญิงสาวสวยผมยาวโบกรถเพื่อให้ไปส่ง ขณะที่เขาขับรถไปเขาได้ดูกระจกรถ เขาไม่เห็นเธอ เขาเบรกรถกระทันหัน เขาขับรถต่อไปเรื่อยๆ พอหันมาอีกที เขาเห็นเธอมีเลือดออกจมูก หัวแตก เขาจอดรถทันทีเขาลงจากรถกราบไหว้อย่างหวาดกลัว เธอออกมาจากรถแล้วพูดว่า"นี่! ฉันไม่ได้เป็นผีสางนางไม้นะยะ! ฉันกำลังมัดเชือกรองเท้าอยู่คุณก็เล่นเบรกรถกระทันหันหัวฉันแตกเลยรีบพาฉันไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้! เธอทำเอาเขาใจตกไปอยู่ตาตุ่มเลยทีเดียว

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Domestic pig


The domestic pig (or in some areas hog) is normally given the scientific name Sus scrofa scrofa, though some taxonomists use the term S. domestica, reserving S. scrofa for the wild boar.
Pigs are believed to have been domesticated from wild boar as early as 9000 BC in the Near East and separately in China at about the same time. DNA evidence from sub-fossil remains of teeth and jawbones of Neolithic pigs in Europe shows that the first domestic pigs there had been brought from the Near East. It appears that this stimulated the domestication of European wild boar, effectively forming a third domestication event – the Near Eastern genes later died out in European pigs, and domesticated European pigs were then exported in turn to the ancient Near East
The adaptable nature and omnivorous diet of the wild boar allowed early humans to domesticate it readily. Pigs were mostly used for food, but early civilizations also used the pigs' hides for shields, bones for tools and weapons, and bristles for brushes. Pigs were brought to southeastern North America from Europe by De Soto and other early Spanish explorers. Escaped pigs became feral and were used by Native Americans as food.Most domestic pigs have rather sparse hair covering on their skin, although woolly coated breeds are known (Mangalitsa pig), and some were popular in the past. Escaped domestic pigs have become feral in many parts of the world (for example, New Zealand) and have caused substantial environmental damage.

Periophthalmus



Les périophthalmes sont des espèces de poissons de la famille des Gobiidae capables de vivre provisoirement à l'air libre, sur la vase ou les branches de la mangrove où ils se nourrissent d'insectes et de petits invertébrés.
Le poisson Periophtalmus (sauteur de vase atlantique) sort de l’eau de la mangrove et peut grimper dans les basses branches des palétuviers ; Ses yeux ont une structure double, lui pemettant de voir nettement sous l'eau et au dessus, avec un large champ de vision. Ses yeux protubérants tournent dans tous les sens et de manière indépendante l'un de l'autre.
Ils se rencontrent dans les mangroves des zones intertropicales.

เพื่อนแท้วัดกันตรงไหน....


วันนี้การเดินทางของเราคือ...เรื่องใกล้ตัว ที่เชื่อแน่ว่าทุกคนต้องมี จะต่างกันก็ตรงที่ใครมีมากมีน้อยก็เท่านั้น อยากรู้ล่ะสิว่ากำลังพูดถึงอะไรหรือใคร อิ อิ บอกให้ก็ได้ ที่พูดถึงอยู่เนี้ยก็คือ “เพื่อน”

คำเดียวสั้น ๆ แต่ความหมายของมันมีมากเกินตัว นิยามความหมายของเพื่อนเชื่อแน่ว่าแต่ละคนคงคิดไม่เหมือนกัน สำหรับคนอื่นไม่รู้ว่าเขาคิดกันแบบไหน แต่สำหรับฉัน “เพื่อน” คำสั้นๆ ที่ความหมายของมันไม่ได้สั้นเหมือนตัวเลยสักนิด

“เพื่อน” คนที่ครั้งหนึ่งเขาคือคนแปลกหน้าสำหรับเรา แต่เวลาผันผ่านเขาคนนั้นกลายมาเป็นคนที่เราบอกเล่าเรื่องราวมากมายให้ได้รู้ หัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน คนที่ไม่ว่าเขาหรือเราจะดีเลวยังงัยก็สู้ทนคบกันต่อไป คนที่ไม่ว่า ณ วันนี้จะอยู่แห่งหนใดบนโลกกว้างใบนี้แต่เมื่อกลับมาเจอกัน เราก็ยังมีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนสายใยแห่งมิตรภาพยังคงเดิม

ฉันมีเพื่อนเป็นร้อย แต่กลับมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตฉันแทบทุกมุม เพราะอะไรเขาคนนั้นที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นคนแปลกหน้า แต่วันนี้กลับรู้ทุกอย่าง เพราะอะไรเหรอ...ก็เพราะไอ้คำที่เรียกขานกันว่า “เพื่อน” นั่นแหละ พอเวลาผ่านไอ้ความหน้าแปลกหรือแปลกหน้าของเขาก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ไปไหนไปกัน ทำอะไรด้วยกัน เมื่อมิตรภาพก่อเกิดแม้จะเป็นแค่เส้นใยบางๆ แต่มันก็เหนียวแน่นยากนักที่มันจะขาดถ้าเส้นใยนี้เกิดขึ้นกับคนที่ได้ชื่อว่า “เพื่อนแท้”

เพื่อนแท้เหรอ?....หายากนะจะบอกให้ ท่ามกลางสังคมที่ชิงดีชิงเด่น พยามยามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองไปถึงเป้าหมาย โดยไม่เคยสนว่าทางที่เดินนั้นจะก้าวเดินไปอย่างไร ดีเลวแค่ไหน ดังนั้นไม่แปลกเคยที่ว่าถ้าเราเจอใครสักคนที่เหมาะจะเป็นเพื่อนแท้แล้วล่ะก็...จงรักษามิตรภาพที่มีต่อกันไว้ให้นานตราบนาน
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปอีกหนึ่งวัน....วันนี้ฉันเดินทางผ่านเรื่องราวมากมายทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตา เมื่อวานการเดินทางของเรื่องราวคือเรื่องเพื่อน วันนี้ฉันก็ยังคงเดินทางอยู่บนเส้นทางเดิมพร้อมกับเรื่องเก่า

รอยยิ้มที่มีให้ทุกคนในงานวันเกิดเพื่อน คือหยดน้ำตาที่ร่วงหยดเมื่อยามกลับมาถึงบ้าน มีคนเป็นร้อยที่ได้เห็นรอยยิ้มละเสียงหัวเราะของฉัน แต่กลับมีเพียงแค่คนเดียวที่รู้ว่าฉันมีน้ำตา แค่คนๆ เดียวที่ปลอบโยนให้ฉันเปลี่ยนจากน้ำตามาเป็นรอยยิ้มที่แนบเสียงหัวเราะมาพร้อมๆ กัน แล้วคนๆ นั้นก็ทำมันสำเร็จ คนธรรมดาที่ทำให้มีรอยยิ้มมาแต่งแต้มแทนคราบน้ำตาที่แห้งหายไป
ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ...ว่าหยุดร้องไห้ตอนไหน มารู้สึกอีกทีฉันก็กลับมาเป็นคนเดิมที่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสนุกสนาน ขอบคุณนะ...คนแปลกหน้า
ใช่แล้วล่ะคน ๆ นั้น เขาเปรียบเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับฉัน คนที่เหมือนกับไร้ซึ่งตัวตนในชีวิตของฉัน แต่เขากลับทำให้ฉันมีความสุข ในขณะที่อีกคนหนึ่ง ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเพื่อนของฉัน เราไปไหนมาไหนด้วยกัน กิน เที่ยว ทำกิจกรรมและเดินทางผ่านเรื่องราวด้วยกันมามากมาย กลับเป็นผู้ที่ทำให้ฉันมีน้ำตา...

วันเวลาที่ล่วงเลยผ่านมาแม้จะนานเป็นปี ก็ไม่สามารถบอกเราได้ว่าคนไหนคือเพื่อนแท้ของเรา ถ้าอย่างนั้นเราจะรู้ได้ยังงัยล่ะว่าคนไหนคือเพื่อนแท้ คนไหนคือเพื่อนเทียม เพื่อนแท้เขาวัดกันที่ตรงไหนล่ะ?
ถึงตอนนี้บอกตรงๆ นะ ว่าฉันเองก็ไม่อาจตอบได้ว่าเพื่อนแท้วัดกันตรงไหน เพราะแม้แต่คนที่เราคิดว่าใช่...ในวินาทีสุดท้ายเขายังหักหลังเราได้

ความหวังดีที่เรามีให้ใครสักคน ไม่จำเป็นว่าใครคนนั้นจะต้องตอบแทนกลับคืนมา แค่เขาไม่ทำลายมันก็พอแล้วล่ะ รับความหวังดีนั้นแล้วอยู่เฉยๆ ยังดีซะกว่ารับแล้วไม่ตอบแทนกลับแต่ยังมาทำลายมันอีก

ความหิว


ความหิว
คืออาการอย่างหนึ่งในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ที่แสดงออกมาว่าต้องการอาหารประจำมื้อ เมื่อถึงเวลาที่ควรจะรับประทานอาหาร
กระเพาะอาหารจะหลั่งน้ำย่อยออกมาเพื่อเตรียมการย่อยอาหาร ในช่วงที่กระเพาะหลั่งน้ำย่อยนั้นจะเกิดเสียงที่ผู้คนรู้จักกันว่าเป็นเสียงท้องร้อง เป็นการส่งสัญญาณจากร่างกายว่าร่างกายต้องการอาหาร
เมื่อร่างกายแสดงความหิวออกมา วิธีที่สามารถแก้ไขความหิวได้คือการรับประทานอาหาร ถ้าเกิดการหิวแล้วไม่รับประทานอาหาร น้ำย่อยที่กระเพาะหลั่งออกมาจะกัดเนื้อในกระเพาะอาหาร (เพราะไม่มีอาหารให้ย่อย) จะทำให้เกิดโรคกระเพาะได้
โดยปกติแล้วคำว่าความหิวหลักๆ จะใช้กับอาการอยากอาหาร แต่ในด้านการใช้ภาษาสามารถใช้เป็นคำแสลงได้ เช่น หิวเงิน (หมายถึงอาการที่อยากได้เงินจนเกินความพอดี) เป็นต้น

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณหิวง่าย

อาหารพวกแป้ง เช่น ข้าว เกี๋ยวเตี๋ยว ขนมปัง ของหวาน แม้แต่ผลไม้ที่มีรสหวาน ที่เรารับประทานจะถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในกระแสเลือด น้ำตาลจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า อินซูลิน (insulin) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงาน หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้
หลังรับประทานอาหารประเภทแป้งใหม่ๆ จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เรารู้สึกสดชื่น มีพลัง แต่ไม่นานนัก เมื่อเราประกอบกิจกรรมต่างๆ น้ำตาลก็จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน และไขมันเพื่อสะสมไว้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง เราจะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย และ หิว เมื่อหิวเราก็รับประทานอาหารอีก ซึ่งถ้าเป็นประเภทแป้งหรือน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ซึ่งเป็นแบบวิธีการบริโภคของคนทั่วๆไป เราก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่ไม่นานนักเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจากการถูกใช้เป็นพลังงานและการเปลี่ยนเป็นไขมัน ระดับน้ำตาลที่ลดลงหลังจากรับประทานอาหารพวกแป้งไปสักระยะหนึ่งนี่เองที่เป็นตัวส่งสัญญาณให้เราเติมน้ำตาลให้กับเลือด นั่นคือ ความหิว เราก็จะกลับเข้าสู่วัฏวักรของความหิวใหม่

ปัญหาก็คือ สำหรับคนทั่วไป เมื่อร่างกายต้องการพลังงาน แทนที่ร่างกายจะหันไปหาไขมันที่สะสมไว้กลับเรียกร้องหาอาหารเพิ่มเติมผ่านสัญญาณจากระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลง แล้วทำอย่างไรล่ะจึงจะทำให้ร่างกายหันไปเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ มีอยู่ 3 วิธีให้เลือกคือ การออกกำลังกาย การอดอาหาร หรือ ไม่ก็ตัดการป้อนแป้งและน้ำตาลใหักับร่างกาย

การออกกำลังกาย หรือ การอดอาหาร มักจะได้ผลในระยะสั้น ดังที่ทุกท่านทราบดี แต่การอดแป้ง และป้อนร่างกายด้วยโปรตีนและไขมันแทน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อนข้างคงที่ในระดับต่ำ ไม่หิวบ่อย ร่างกายจะถูกปรับสภาพให้หันไปหาไขมันเพื่อสร้างพลังงาน คล้ายๆ กับเมื่อเราออกกำลังกาย หรือ อดอาหาร กลยุทธนี้ได้ผล เพราะไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงปฏิบัติได้ในระยะยาว

ธงชาติฝรั่งเศส



มีชื่อเรียกในภาษาฝรั่งเศสว่า "le tricolore" (เลอ ตริโกลอร์ - แปลว่า ธงไตรรงค์ หรือ ธงสามสี) และ "le drapeau bleu-
blanc-rouge" (เลอ ดราโป เบลอ บลองค์ รูจ - แปลว่า ธงน้ำเงิน-ขาว-แดง) ธงนี้เป็นธงต้นแบบที่หลายๆ ประเทศนำมาดัดแปลงใช้เป็นธงชาติของตนเอง รวมทั้งธงชาติไทยด้วย ลักษณะของธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน ประกอบด้วยริ้วธง 3 สี คือ สีน้ำเงิน สีขาว และสีแดง เรียงกันตามแนวตั้ง แต่ละริ้วมีความกว้างเท่ากัน สำหรับธงค้าขายและธงรัฐนาวีฝรั่งเศสนั้นคล้ายกับธงชาติ แต่สัดส่วนความกว้างของริ้วธงแต่ละสีจะเป็น 30:33:37
ธงนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติฝรั่งเศส ตามมาตรา 2 แห่งรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐฝรั่งเศส พ.ศ. 2501 ส่วนสีธงชาติแบบมาตรฐานนั้น กำหนดขึ้นในสมัยที่นายวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตง เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส ดังนี้


แต่เดิมธงนี้มีที่มาจากธงสีแดงและน้ำเงินซึ่งเป็นสีธงประจำกรุงปารีส และธงสีขาว ซึ่งใช้เป็นธงประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสและใช้เป็นธงราชนาวีในยุคกลาง มีความหมายถึงความบริสุทธิ์ สถาบันกษัตริย์ฝรั่งเศส และยังหมายถึงประเทศฝรั่งเศสด้วย เมื่อเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2332 ธงสามสี แดง-ขาว-น้ำเงิน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติที่นิยมแพร่หลายโดยทั่วไป แต่รัฐบาลปฏิวัติฝรั่งเศสได้รับรองธงนี้ให้ใช้เป็นธงชาติจริงเมื่อ พ.ศ. 2337

ทฤษฎีโดมิโน

ทฤษฎีโดมิโน (อังกฤษ: domino theory) เป็นทฤษฎีทางนโยบายด้านการต่างประเทศ อุปมาขึ้นจากลักษณะของเกมไพ่ต่อแต้ม ซึ่งถ้ามีไพ่ล้มหนึ่งใบ ไพ่ใบอื่น ๆ ก็จะล้มเป็นแถบติดต่อเป็นลูกโซ่ ทฤษฎีโดมิโนหมายความว่าถ้าประเทศหนึ่งหันไปใช้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ จะส่งผลให้ประเทศรอบข้างก็จะเอาอย่างตามไปด้วย เรียกว่า "ผลกระทบแบบโดมิโน (อังกฤษ: domino effect)
ทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นจากกรณีการขยายตัวของลัทธิและระบอบคอมมิวนิสต์ในทวีปเอเชีย เมื่อจีน เกาหลีเหนือ และเวียดนามเหนือตกเป็นคอมมิวนิสต์ จึงมีความเชื่อว่าประเทศอื่น ๆ เช่น ลาว เขมร ไทย มาเลเซีย ฯลฯ จะถูกครอบงำโดยระบบคอมมิวนิสต์ในที่สุดตามไปด้วย การล้มของโดมิโนจึงหมายถึงการล้มตัวของระบอบประชาธิปไตย
แต่เมื่อนำมาใช้กับประเทศในโลกตะวันตกแล้ว อาจกล่าวได้ว่าเป็นทฤษฎีโดมิโนแบบกลับตาลปัตร คือ แทนที่จะเป็นการล้มของระบอบประชาธิปไตย กลับเป็นการคลายตัวและแปรเปลี่ยนจากระบอบการปกครองแบบพรรคเดียว คือ คอมมิวนิสต์ และระบบเศรษฐกิจสังคมนิยม ไปสู่การปกครองแบบหลายพรรค เช่น ในกรณีที่โปแลนด์ หรือในการสลายตัวของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ฮังการี การต่อสู้เพื่อเสรีภาพที่โรมาเนีย รวมทั้งการมีท่าทีที่จะใช้ระบบหลายพรรคในสหภาพโซเวียต
อย่างไรก็ดี ราชบัณฑิตยสถานแห่งประเทศไทยวิเคราะห์ว่า "...ในสหภาพโซเวียตและใน กลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกออกจะแปรเปลี่ยนเป็นทุนนิยมและประชาธิปไตยสมบูรณ์ แบบ คงต้องเปิดช่องสำหรับข้อเท็จจริงที่ว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่น่าจะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ที่หวังได้คือ การมีระบบผสมผสาน แต่ระบบเดิมคงเหลืออยู่เป็นฐาน ทฤษฎีโดมิโนเมื่อใช้ในกรณีกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกน่าจะถูกเพียงครึ่งเดียว ซึ่งก็เป็นกรณีเดียวกับที่ใช้กับกลุ่มประเทศแถบเอเชีย"
ทฤษฎีโดมิโนนี้ถูกต่อต้านโดยนายจอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส (John Foster Dulles) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา โดยได้มีทฤษฎีต่อต้านคือทฤษฎีการสกัดกั้น (อังกฤษ: containment policy)

Théorie des dominos


La théorie des dominos est une théorie géopolitique américaine énoncée au XXe siècle, selon laquelle le basculement idéologique d'un pays en faveur du communisme serait suivi du même changement dans les pays voisins selon un effet domino. Cette théorie fut invoquée par différentes administrations américaines pour justifier leur intervention dans le monde.
La théorie des dominos a été formulée pour la première fois le 7 avril 1954 par le Président Eisenhower – même s'il n'emploie pas l'expression – comme métaphore physique pour représenter la propagation par « contagion » (métaphore biomédicale) de l'idéologie communiste. Elle s'apparente à la notion de « co-évolution » en écologie où un changement chez un individu peut promouvoir et faciliter un changement chez un autre, d'après Gregory Bateson[réf. nécessaire].
Cette théorie a été reprise, en sens inverse, pour qualifier l'objectif de refonte démocratique du « Grand Moyen-Orient » des néoconservateurs américains durant l'administration de George W. Bush.

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Étymologie **Chocolat**


« Chocolat » proviendrait du mot nahuatl xocolatl qui est une combinaison des mots xocolli (signifiant « amer ») et atl (qui veut dire « eau »).
Les Aztèques associaient le chocolat avec Xochiquetzal, la déesse de la fertilité.Le chocolat est également associé avec le dieu Maya de la fertilité.
Le philologue mexicain Ignacio Davila Garibi suggère que les Espagnols ont inventé ce mot en associant le terme chocol et en remplaçant le mot maya haa (signifiant eau) par le terme Aztèque atl. Cependant, il semble plus probable que les Aztèques eux-mêmes inventèrent le mot, ayant adopté depuis longtemps en Nahuatl le mot Maya pour la fève de cacao. En effet, les Espagnols eurent peu de contact avec les Mayas avant que Cortés rapporte au roi d'Espagne une boisson chocolatée connue sous le nom de xocolatl.Wiliam Bright relève que le mot xocoatl n'apparaît pas au début de la langue espagnole ou dans les sources coloniales Nahuatl.Le verbe maya chokola'j , qui signifie « boire du chocolat ensemble », a aussi été proposé comme origine possible.
Dans une étude controversée, les linguistes Karen Dakin et Søren Wichmann trouvèrent que dans de nombreux dialectes Nahuatl, le nom est plutôt chicolatl que chocolatl. De plus, de nombreuses langues parlées au Mexique (telles que le popoluca, le mixtèque, le zapothèque) et même aux Philippines, ont emprunté cette version du mot. Le mot chicol-li fait référence à des ustensiles de cuisine (toujours utilisés dans certaines régions).Depuis que le chocolat fut servi, à l'origine de manière cérémonial, avec des fouets individuels , Dakin et Wichmann considèrent qu'il semble assez probable que la forme d'origine du mot était chicolatl, ce qui aurait signifié « boisson battue ».Dans plusieurs régions du Mexique, chicolear signifie « battre, remuer ».[

ประวัติความเป็นมาของ วันวาเลนไทน์


ประวัติดั้งเดิมของ วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็น วันแห่งความรัก เกี่ยวพันทั้งกับประเพณีของชาวคริสเตียน และประเพณีดั้งเดิมของชาวโรมัน ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน ตามความรับรู้ของชาวคริสต์ วันวาเลนไทน์ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนักบุญที่ชื่อ วาเลนไทน์ หรือ วาเลนตินัส อย่างน้อย 3 คน ซึ่งทุกคนเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งสิ้น

ตำนานหนึ่งเล่าว่า วาเลนไทน์ เป็นนักบวชที่มีชีวิตอยู่ในกรุงโรม ในช่วงศตวรรษที่ 3 ของปีคริสตศักราช ในช่วงที่จักรพรรดิ คลอดิอุส 2 ปกครองกรุงโรม พระองค์เห็นว่า ผู้ชายที่เป็นโสด จะทำหน้าที่ทหารได้ดีกว่าชายที่มีภรรยาและครอบครัว พระองค์จึงทรงออกกฎหมายห้ามมิให้ผู้ชายในวัยหนุ่มแต่งงาน เพื่อที่จะกะเกณฑ์ชายหนุ่มที่ยังไม่แต่งงานเหล่านี้มาเป็นทหาร นักบวช วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับจักรพรรดิ คลอดิอุส และเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม จึงยังคงลักลอบทำพิธีแต่งงานให้กับคนหนุ่มสาวที่มีความรักต่อไป เมื่อการกระทำของ นักบวชวาเลนไทน์ ล่วงรู้ถึงหูของจักรพรรดิ คลอดิอุส พระองค์จึงสั่งให้จับกุมและให้ประหาร นักบวชวาเลนไทน์ เสีย

อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า นักบวชวาเลนไทน์ ถูกประหารเพราะพยายามที่จะช่วยเหลือชาวคริสเตียนให้หนีออกจากคุกของพวกโรมัน ซึ่งเวลานั้น ผู้ที่เป็นคริสเตียนจะมีความผิด ต้องถูกนำไปคุมขัง และทรมานด้วยการเฆี่ยนตี


ตำนานที่สามเล่ากันว่า นักบวช วาเลนไทน์ คือผู้ที่ส่ง บัตร “ วาเลนไทน์ ” เป็นคนแรก ในขณะที่นักบวช วาเลนไทน์ ถูกจำคุกอยู่นั้น เขาตกหลุมรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง นางเป็นลูกสาวของผู้คุมที่คุกแห่งนั้น ซึ่งนางเข้าไปเยี่ยมในระหว่างที่นักบวชผู้นี้กำลังนอนป่วย ก่อนที่จะถูกประหาร เขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงนาง และลงท้ายจดหมายว่า “ จาก วาเลนไทน์ ของเธอ ” ซึ่งเป็นวลีที่ยังใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าความจริงเกี่ยวกับนักบวช วาเลนไทน์ จะเป็นตำนานที่ค่อนข้างสับสน แต่ทุกตำนานก็เป็นเรื่องของความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ ความกล้าหาญ และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ ความรัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในยุคกลางของยุโรป(ประมาณศตวรรษที่ 5 ถึงศตวรรษที่ 16 ของปีคริสตศักราช) นักบุญ วาเลนไทน์ จะเป็นหนึ่งในนักบุญที่ได้รับความศรัทธามากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษและฝรั่งเศส

ขณะที่บางคนเชื่อว่า วันวาเลนไทน์ คือวันรำลึกถึงการเสียชีวิต หรือวันทำพิธีฝังศพของนักบุญ วาเลนไทน์ ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจจะเริ่มมาตั้งแต่ประมาณปีคริสตศักราช 270 ในบางความเชื่อกล่าวว่า พิธีแสดงความรักต่อนักบุญ วาเลนไทน์ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นประเพณีที่เพื่อแสดงความเป็น คริสเตียน ของนักบวชในศาสนาคริสต์ เพื่อที่จะมาทดแทนเทศกาล ลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) ของชาวโรมันในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่แสดงความรักต่อเทพเจ้าฟอนนัสของชาวโรมัน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งเกษตรกรรม และเทพเจ้ารอมมิวนัส และเทพเจ้าเรมัส เทพเจ้าผู้สร้างกรุงโรม

พิธีเริ่มต้นโดยพวกสมาชิกของ ลูเปอร์ซิ และนักบวชโรมัน ไปชุมนุมกันที่ถ้ำอันศักดิ์ของพวกเขา ซึ่งเป็นที่กำเนิดของเทพเจ้า รอมมิวนัส และ เรมัส ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างกรุงโรม และเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูและดื่มนมจากหมาป่า หรือ ลูปา พวกนักบวชโรมันจะทำการฆ่าแพะบูชายัญเพื่อความอุดมสมบูรณ์ และฆ่าสุนัขบูชายัญเพื่อความบริสุทธิ์


จากนั้นเด็กหนุ่ม ๆ จะทำการแล่หนังของแพะออกเป็นชิ้นยาว ๆ นำไปจุ่มในเลือดศักดิ์สิทธิ์ ถือไปตามถนน นำไปแตะที่ตัวผู้หญิง และถือไปตามท้องไร่ท้องนาต่าง ๆ ผู้หญิงโรมันจะเต็มใจให้นำเอาหนังแกะสดที่ชุ่มไปด้วยเลือดมาแตะตามตัว เพราะเชื่อว่าจะนำเอาความอุดมสมบูรณ์มาสู่กรุงโรม จากนั้นในรุ่งขึ้นอีกวัน หญิงสาวชาวเมืองจะพากันเอาชื่อของนางใส่ลงในหม้อขนาดใหญ่ เพื่อให้ชายโสดทั้งหลายมาเลือกชื่อพวกนางจากหม้อใบนี้ และก็เป็นคู่กันไปตลอดทั้งปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะลงเอยด้วยการแต่งงานกัน สันตะปาปา เกลาเซียส ได้ประกาศเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันนักบุญวาเลนไทน์ เมื่อประมาณปีคริสตศักราช 498 การเลือกคู่แบบโรมัน กลายเป็นสิ่งที่ “ ไม่ใช่คริสเตียน ” และผิดกฎ ต่อมาในสมัยยุคกลางของยุโรป ได้กลายเป็นความเชื่อของคนในอังกฤษและฝรั่งเศสว่า 14 กุมภาพันธ์ เป็นการเริ่มต้นฤดูผสมพันธุ์ของ “ นก ” แล้วก็กลายเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็น วันแห่งความรัก

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ดอกไม้ " วันวาเลนไทน์ "

มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลาย รูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย



กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย

กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น

กุหลาบดำ หมายถึง ความรักนิรันดร์

กุหลาบแดง (red rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ" การให้ดอกกุหลาบแดงกับคนที่รักความ หมายถึงความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดงจึงมักจะเป็นดอกไม้ ที่ชายหนุ่มให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน

กุหลาบขาว (white rose) : สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธ์ กุหลาบขาวจึงแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้นมันจึงสามารถใช้แทนความรักของคนต่างวัย ความรักต่อพ่อแม่ เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้

กุหลาบชมพู (pink rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน การให้ดอกกุหลาบสีชมพูสามารถแสดงถึงความรัก ที่กำลังเริ่มงอกงามในใจ และสามารถพัฒนาต่อไปเป็นความรักที่ลึกซึ้งได้


กุหลาบเหลือง (yellow rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส กุหลาบสีเหลืองถูกใช้สำหรับแทนความรักแบบเพื่อน และความ สนุกสนานรื่นเริงจึงมักจะนำมันมาประดับตะกร้าสำหรับเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อทำให้คนป่วยรู้สึกสดชื่นรื่นเริงขึ้นนั่นเอง


สำหรับดอกไม้อื่น ๆ ที่ถูกมาใช้แทนความหมายแห่งความรักก็มี ดอกทิวลิบสีแดง (red tulib) ชาวตะวันตกใช้มันแทนการประกาศความรัก อย่างเปิดเผย คล้าย ๆ กับดอกกุหลาบแดง



ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู (pink carnation) ใช้สื่อความหมายว่า "ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ" หรือ "คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ"


ดอกลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้ได้รู้จัก และอยู่ใกล้คุณ "




สำหรับดอก forget-me-not มีความหมายตรงตัวคือได้โปรดอย่าลืมฉัน และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน



มาถึงดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปในบ้านเราบ้างดอกทานตะวัน (sunflower) มีความหมายถึงความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา

จะเห็นได้ว่าดอกไม้เป็นประดิษฐกรรมทางธรรมชาติที่มนุษย์เรานำมาใช้เป็นสื่อแทนความหมาย แห่งความรักได้หลายรูปแบบ การมอบดอกไม้ให้กับคนที่เรามีความรู้สึกพิเศษจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ... Vlentine นี้คุณมีดอกไม้ในใจที่จะให้คนที่คุณรักแล้วหรือยัง

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เรื่องย่อ Before Valentine เพราะความรักหมุนรอบตัวเรา


“โจ๊ก” เด็กวัยรุ่นหน้าตาธรรมดาๆ และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่กลับมีความรักเกิดขึ้นกับ “จิ๊บ”เพื่อนสนิทที่เป็นถึงดาวโรงเรียน เมื่อต้องสารภาพรักกับเพื่อนสนิทใครคิดว่าง่าย ก่อนวาเลนไทน์จะมาถึง โจ๊กจะเป็นคนที่อยู่ในใจของจิ๊บ หรือ จะเป็นได้แค่เพื่อนสนิทต่อไป
“สุธี” กับ “ชิดชนก” รักๆเลิกๆ กันมาตั้งแต่เรียนมหาลัยด้วยกัน ชิดชนกตัดสินใจที่จะแยกทางจากสุธีเพื่อไปมีคนรักใหม่สร้างครอบครัวกันอย่าง มีความสุข ในขณะที่สุธีกลับมีความตั้งใจที่จะขอเธอแต่งงาน …ความรักของเค้าและเธอ จะยังมีบทดำเนินต่อไปหรือจะจบลงแค่วันนี้...ก่อนวันวาเลนไทน์
“เฮีย” กับ “เจ๊” แต่งงานกันมาสิบปี เปิดร้านขายดอกไม้ด้วยกัน แต่ไม่เคยพูดจาภาษาดอกไม้ใส่กันเลย ต่างละเลยที่จะแสดงความรักต่อกันจนใครๆ ต่างก็คิดว่า สงสัยคนคู่นี้จะถูกจ้างให้มาอยู่ด้วยกัน เฮียที่เบื่อเจ๊มาก จึงตัดสินใจสานสัมพันธ์ที่ดีกับสาวสวยที่ทำงานอยู่ร้านเน็ตคาเฟ่ฝั่งตรงข้าม ร้านดอกไม้ของเฮีย...แล้วความรักของคนทั้งสองที่มีมายาวนานจะสิ้นสุดลงหรือ ไม่ อะไรจะเป็นคำตอบของคนคู่นี้
“แจ๊ค” กับ “แหม่ม” เป็น แฟนกันมานาน ทั้งคู่รักกันดีแสดงความรักที่มีต่อกันอย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะสร้างครอบครัวด้วยกัน ก่อนถึงวันวาเลนไทน์มีเหตุการณ์ที่ทำให้แหม่มเข้าใจผิดว่าแจ๊คแอบนอกใจ แหม่มจึงประชดแจ๊คด้วยการคิดจะไปคบค้าสมาคมกับชายอื่น...เมื่ออุปสรรคของ ความรัก คือความเข้าใจผิด ที่เกิดขึ้นในก่อนวันแห่งความรักจะมาถึง ความรักของทั้งคู่จะลงเอยอย่างไร

ความฝันเกิดจากอะไร




ความฝัน คือ
ประสบการณ์ของภาพ เสียง ข้อความ ความคิด หรือความรู้สึกในขณะที่กำลังนอนหลับ โดยผู้ที่ฝันส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมได้ความฝันมักจะเต็มไปด้วยความคิดในด้านต่างๆ ซึ่งความฝันสามารถเกิดได้ตั้งแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมจนถึงเรื่องเหลือเชื่อ รวมไปถึงเรื่องสนุกสนาน เรื่องตื่นเต้น เรื่องน่ากลัว เรื่องเศร้า ที่เรียกว่าฝันร้าย และในบางครั้งความฝันจะมีเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีผลต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการฝันเปียกในผู้ชาย หลายๆครั้งที่ความฝันเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกทั้งทางด้านจิตใจและทางด้านศิลปะให้แก่ผู้ที่ฝันนักวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาความฝันโดยอ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของดวงตาขณะนอนหลับ (rapid eye movement, REM) การกระตุ้นของต่อมponsส่วนประกอบส่วนหนึ่งของก้านสมอง หรือการเปลี่ยนแปลงของการเต้นของหัวใจนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า คนทุกคนเฉลี่ยแล้วจะมีความฝันในปริมาณที่เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าบางคนจะรู้สึกว่าไม่ได้ฝันหรือนานๆทีจะได้มีความฝัน นั่นเพราะสาเหตุที่ว่าความฝันของบุคคลนั้นจางหายไปเมื่อตื่นนอน ความฝันมักจะเลือนหายถ้าสถานะของการฝันของบุคคลนั้นค่อยๆเปลี่ยนจาก สถานะอาร์อีเอม เป็นสถานะเดลต้า และตื่นนอน ในทางกลับกันถ้าบุคคลนั้นตื่นขึ้นขณะที่อยู่สถานะอาร์อีเอม (เช่นตื่นโดยนาฬิกาปลุก) บุคคลนั้นมักจะจำเรื่องที่ฝันได้ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกความฝันที่จะถูกจำได้
ความฝันในสัตว์
การวิจัยค้นพบว่าสัตว์ได้มีความฝันเช่นเกียวกับมนุษย์ โดยเมื่อสัตว์หลับอยู่ในสถานะอาร์อีเอม สัตว์จะมีความฝันเกิดขึ้น (ถึงแม้ว่าจะไม่มีการระบุเป็นรูปธรรมว่าสัตว์ฝันถึงเรื่องใด) สัตว์ที่มีระยะของสถานะอาร์อีเอมนานที่สุดคือ อาร์มาดิลโลสัตว์ชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายตัวตุ่น สัตว์ที่มีความฝันบ่อยสุดคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์ประเภทนก อาจเนื่องมาจากลักษณะรูปแบบในการนอน กบเป็นสัตว์ไม่มีการนอนหลับยกเว้นในช่วงเวลาจำศีล ได้มีการทดสอบความฝันของแมวว่า แมวมักจะฝันถึงการล่าเหยื่อโดยอ้างอิงจากลักษณะการเคลื่อนไหวของขาและร่างกาย ในขณะที่สุนัขได้มีการเคลื่อนไหวของช่วงขาในลักษณะของการวิ่งรวมถึงการเห่าในขณะที่นอนหลับ
5 เดือน ผ่านไป

มันฝรั่ง







มันฝรั่งมีชื่อในภาษาอังกฤษ ว่า potato มาจากคํ าว่า patata ในภาษาชาวอินเดียน ที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ เมื่อนายพลฟรันซิสโก ปิซาร์โร (Francisco Pizarro) แห่งสเปน พิชิตเปรูได้สำเร็จ ในปี พ.ศ. 2073 กองทัพสเปนที่มุ่งจะครอบครองทองคำและอัญมณีอันล้ำค่าของอารยธรรมอินคาหาได้สนใจใยดีกับมันฝรั่ง ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นที่ขึ้นอยู่ทั่วไปในแถบเทือกเขา แอนดิสของประเทศเปรูไม่ มาบัดนี้อาณาจักรอินคาที่ยิ่งใหญ่ได้สูญสลายไปจนสิ้นแล้ว สเปนก็ได้สูญสิ้นความเป็นมหาอำนาจไปแล้วเช่นกัน แต่มันฝรั่งแห่งเปรูได้กลายเป็นพืชที่ยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญ มากที่สุดในโลก

ธุรกิจมันฝรั่ง
ธุรกิจมันฝรั่งผลิตมันฝรั่งปีละ 300 ล้านตัน ครึ่งหนึ่งของมันฝรั่งที่ปลูกได้ จะถูกนำไปเป็นอาหารโปรตีนสำหรับสัตว์ เหล้าวอดก้า แป้ง กาว น้ำมันเชื้อเพลิง และสีย้อม ตำนานเล่าว่าจอมโจรดิลลิงเกอร์ (Dillinger) ได้แกะมันฝรั่งเป็นรูปปืนแล้วใช้สีย้อมทามันฝรั่ง จนทาให้ดูเสมือนว่าเป็นปืนจริงเพื่อนำมาขู่ยามทำให้เขาหนีจากคุกได้

คุณค่าทางอาหาร
มันฝรั่งเป็นพืชที่สามารถให้ผลเร็ว ถึงแม้จะปลูกในพื้นที่ขนาดเล็กๆ มันก็ให้ผลผลิตเท่ากับข้าวที่ขึ้นในพื้นที่ที่มากกว่าถึง 2 เท่า มันทนสภาพดินฟ้าอากาศได้ทั้งร้อนและหนาว จึงทำให้สามารถขึ้นได้ดีบนพื้นที่ในบริเวณเทือกเขาแอนดิส ที่สูง 12,000 ฟุต และที่ๆ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เช่น ในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ นักโภชนาการรู้ว่า โปรตีนที่ได้จากมันฝรั่งมีคุณภาพดีกว่าโปรตีนที่ได้จากพืชอื่นๆ เช่น ถั่วลิสง มันฝรั่ง 100 กรัม ให้พลังงาน 85 แคลอรี่ 99.9% ของผลผลิตไม่มีไขมัน มันฝรั่ง ยังมีธาตุแคลเซียม โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม กรดโฟลิก และวิตามิน ซี, บี-1, บี-2 จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดกัปตันเรือในสมัยก่อนจึงนิยมขนมันฝรั่งไปด้วยในการเดินทางไกล ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันกลาสีมิได้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟันนั่นเอง การที่มันฝรั่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเช่นนี้ นักโภชนาการจึงมีความเชื่อว่าหากใครต้องตกอยู่บนเกาะร้าง และเขามีมันฝรั่งจะปลูก เขาจะไม่มีวันอดอาหารตาย
เมื่อ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาแอนดิสปลูกมันฝรั่งเป็นอาหาร ชาวอินคา บริโภคมันฝรั่งเป็นอาหารหลัก โดยนำมันมาตากแดดให้แห้งแล้วบด ให้ละเอียดเป็นแป้ง เซอร์จอห์น ฮอว์คิง (John Hawking) เป็นบุคคลแรกที่นำมันฝรั่งมาปลูกครั้งแรกที่ไอร์แลนด์ในปี พ.ศ. 2108 ชาวสก็อตเคยปฏิเสธไม่ยอมบริโภคมันฝรั่ง เพราะถือว่ามันเป็นผลไม้ปีศาจ จากการที่คัมภีร์ไบเบิล ไม่เคยเอ่ยถึงผลไม้ชนิดนี้เลย มาบัดนี้มันฝรั่งเป็นพืชที่ทั้งโลกคนรู้จัก และยอมรับแล้ว
"ศูนย์วิจัยมันฝรั่งนานาชาติ" (International Center for Potato Research) ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู เป็นสถาบันวิจัยมันฝรั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก สถาบันแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่และนักวิจัยรวม 600 คน ได้รับเงินงบประมาณปีละ 525 ล้านบาท ทำหน้าที่ค้นหาสายพันธุ์มันฝรั่งชนิดใหม่ๆ หาวิธีปรับปรุงกระบวนการที่จะทำให้มันฝรั่งให้ผลเร็วขึ้นและมากขึ้น หายาต่อต้านศัตนูที่จะมารบกวน รวมทั้งเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เพื่อช่วยให้มันสามารถเจริญเติบโตในสภาพดินฟ้าอากาศที่ "ไม่ปกติ" อีกด้วย เอช ซานด์สตรา (H. Zandstra) ผู้อำนวยการสถาบันมีความประสงค์จะทำให้มันฝรั่งเป็นพืชของคนยากจนที่อาาศัยอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒาทั่วโลก เขายังมีแผนการจะให้สถาบัน ของเขาเป็นพิพิธภัณฑ์อนุรักษ์สายพันธ์มันฝรั่งทุกชนิดในโลกอีกด้วย
ในอดีตชนเผ่าอินคาไม่เคยรู้จักยีน (gene) ของมันฝรั่ง แต่เขาก็รู้ว่า หากต้นไม้ที่ให้อาหารหลักแก่พวกเขาไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดี มันจะสูญพันธุ์ ดังนั้นเวลามีเทศกาลในนครคูซโค กษัตริย์อินคาจะทรงสวดมนต์ต์อ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าให้คุ้มครองมันฝรั่ง พระเจ้าคงมีจริง เพราะทุกวันนี้ใครพูดถึงชา เขาก็นึกถึงจีน แต่หากใครพูดถึงมันฝรั่ง ต้องยกให้ที่เปรู

ตลาดและราคามันฝรั่ง
เนื้อที่เพาะปลูก คาดว่าจะมีเนื้อที่เพาะปลูกรวมทั้งปีประมาณ 47,892 ไร่ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 5,692 ไร่ หรือ คิดเป็นร้อยละ 13.5 ผลผลิต คาดว่า จะได้ 86,805 ตัน เมื่อเทียบกับปีที่2545 เพิ่มขึ้น 14,368 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 19.8ผลผลิตต่อไร่ คาดว่าจะได้ไร่ละ 1,813 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปีที่ 2545 เพิ่มขึ้น 96 กิโลกรัม หรือ คิดเป็นร้อยละ 5.6
การจำหน่ายมันฝรั่ง ปี 2546
สถานการณ์การผลิต คาดว่าเนื้อที่เพาะปลูกมันฝรั่ง ปี 2546/47 เพิ่มขึ้น เนื่องจากจังหวัดที่เป็นแหล่งปลูกที่สำคัญ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดตาก ขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการมันฝรั่ง เพื่อทำการแปรรูปมากขึ้น ประกอบกับในปีที่ผ่านมาราคามันฝรั่งมีราคาสูง และโรคระบาดในมันฝรั่งก็ลดน้อยลง ทำให้เกษตรกรเพิ่มพื้นที่ปลูกมันฝรั่งเพิ่มขึ้น สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากใช้พันธุ์จากต่างประเทศ (แอตแลนติก) ซึ่งให้ผลผลิตสูงกว่า ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตในภาพรวมมากกว่าปีที่แล้ว
พ.ศ. 2550 ประเทศจีน มีปริมาณการผลิตมันฝรั่ง 70 ล้านตันต่อปี พื้นที่ปลูกและยอดการผลิตมันฝรั่งของจีนก้าวเป็นอันดับที่ 1 ของโลก และมันฝรั่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอันดับที่ 4 ของจีนรองจากข้าวสาลี ข้าวนาดำและข้าวโพด [1]

การผลิตมันฝรั่งให้ปลอดภัยจากสารพิษ
ถ้ามีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้เลือกใช้ชนิด อัตรา และรายละเอียด ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ต้องใช้สารเคมีที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีเลขทะเบียนวัตถุอันตรายและมีคำแนะนำบนฉลากให้ใช้กับมันฝรั่ง
ต้องไม่ใช้สารเคมีซึ่งเป็นวัตถุอันตรายที่ห้ามใช้ในทางการเกษตรตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
ต้องหยุดใช้สารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยวตามเวลาที่ระบุในคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
จดบันทึกการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชไว้เป็นหลักฐาน

การปลูกมันฝรั่งให้มีคุณภาพดี
เลือกพันธุ์ปลูก พันธุ์มันฝรั่งที่เหมาะสมสำหรับแปรรูปมีอยู่หลายพันธุ์ ควรเลือกพันธุ์ที่มีปริมาณน้ำหนักแห้งสูงกว่าพันธุ์อื่น เช่น พันธุ์แอตแลนติค มีเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งหรือความถ่วงจำเพาะสูงกว่าพันธุ์เคนนีเบค อย่างไรก็ตามเรื่องพันธุ์ปลูกอาจจะถูกกำหนดโดยบริษัทที่สั่งหัวพันธุ์เข้ามาหรือจากโรงงานแปรรูป ในบางกรณีอาจจะต้องพิจารณาถึงลักษณะอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ผลผลิต ความต้านทานโรค
การเตรียมดิน ควรไถตากดินอย่างน้อย 15 วัน ก่อนเตรียมแปลงปลูกเพื่อลดปริมาณเชื้อโรคในดิน
ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อปรับปรุงดินให้ร่วนซุย
ใส่ปูนมาร์ลหรือโดโลไมท์ เพื่อปรับความเป็นกรดเป็นด่างของดิน
ควรปลูกมันฝรั่งโดยเร็วเท่าที่จะทำได้ในช่วงต้นฤดูปลูก เพื่อให้ต้นมันฝรั่งมีช่วงการเจริญเติบโตยาวนานขึ้น มันฝรั่งจะมีการสะสมน้ำหนักแห้งได้มากขึ้นทำให้คุณภาพดี
การใส่ปุ๋ย อัตราปุ๋ยที่แนะนำ คือ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 100 กิโลกรัม/ไร่ ใส่ช่วงเตรียมหลุมปลูก และปุ๋ยยูเรีย 25 กิโลกรัม/ไร่+โปแตสเซี่ยมวซัลเฟต อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ ช่วงอายุได้ 20-30 วัน หลังจากปลูก
การให้น้ำ ให้น้ำน้อยช่วงเริ่มปลูก และเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หลังจากมันฝรั่งเริ่มเจริญเติบโต และงดการให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 2 สัปดาห์ อย่าเว้นระยะการให้น้ำนานเกินไป จนความชื้นในดินที่เป็นประโยชน์ต่อพืชลดลง เกิน 50 เปอร์เซ็นต์
วางแผนการพ่นสารเคมีควบคุมโรคและแมลง เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นมันฝรั่งถูกทำลาย ควรหมั่นเดินตรวจแปลงปลูก เพื่อทราบชนิดของโรคและแมลงที่เริ่มปรากฏ ทำให้สามารถวางแผนการพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดได้ถูกต้อง
เก็บเกี่ยวเมื่อต้นมันฝรั่งอายุแก่เต็มที่ ต้นและใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนอนราบกับพื้นดิน เริ่มแห้งตายหรืออย่างน้อยควรมีอายุได้ 90 วันหลังจากปลูก
ควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียนหลังจากเก็บเกี่ยวมันฝรั่งแล้ว เพื่อลดปัญหาการสะสมของโรคและแมลง